บทที่ 9 ตระกูลเซียวเกิดเรื่อง
บทที่ 9 ตระกูลเซียวเกิดเรื่อง
เช้าวันต่อมาเซียวเหมยลี่ยังคงทำหน้าที่เหมือนเช่นเคย เพียงแต่วันนี้นางกับฟางเทียนอวี้มีท่าทีกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด
เซียวเหมยลี่เหลือบมองหว่างขาของฟางเทียนอวี้เป็นระยะ ในขณะที่ฟางเทียนอวี้ก็เหลือบมองริมฝีปากของเซียวเหมยลี่เช่นเดียวกัน
"เอ่อ ผื่นแดงลดลงเร็วมากเพคะ หม่อมฉันคิดว่าน่าจะไม่ถึงสิบวันคงจะหายดีแล้ว"
"อืม"
"เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ"
เซียวเหมยลี่เอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับไปที่เรือนของตนทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าพ่อบ้านโจวนำแตงกวามามอบให้นางหนึ่งตระกร้าใหญ่ บอกว่าแตงนี้มีรสชาติหวานกินกับสิ่งใดก็อร่อย เซียวเหมยลี่เอ่ยขอบคุณพ่อบ้านโจว ก่อนจะหยิบแตงกวาผลใหญ่ขึ้นมาดู
ขนาดเท่ากับท่อนเอ็นลำมังกรของฟางเทียนอวี้เลย
เมื่อดึงสติกลับมาได้เซียวเหมยลี่ก็ยกมือขึ้นทาบอกตนเองก่อนจะอุทานในใจ
ตายแล้ว!!ภาพเมื่อคืนยังติดตาข้าไม่หายเลย
เพราะวันนี้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำมากนัก เซียวเหมยลี่จึงขออนุญาตฟางเทียนอวี้กลับจวนตระกูลเซียว ฟางเทียนอวี้พยักหน้าเล็กน้อย เซียวเหมยลี่ที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินทางกลับจวนตระกูลเซียวทันที
ระหว่างทางนางแวะซื้อขนมติดไม้ติดมือไปฝากอิงเย่ว์ด้วย ในขณะที่กำลังเดินเที่ยวชมนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย นางบังเอิญเดินไปชนกับบุรุษผู้หนึ่งเข้า
"โอะ ขออภัยแม่นาง"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ"
เซียวเหมยลี่เงยหน้าไปมองบุรุษผู้นั้นคราหนึ่ง บุรุษตรงหน้าจ้องมองยาวด้วยแววตาที่หลงใหลอย่างไม่ปิดบัง
ฟางเจียเอ๋อร์ที่ว่างงานไม่มีสิ่งใดทำจึงยากออกมาเดินเล่นเสียหน่อย แต่บังเอิญกลับชนสาวงามเข้าอย่างจัง นางมีใบหน้างดงามล่มเมืองอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
"แม่นางชื่อแซ่อันใดหรือ? ข้าจวิ้นอ๋องฟางเจียเอ๋อร์"
เซียวเหมยหลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะร้องอ้อในใจ
แซ่ฟาง จวิ้นอ๋อง ตายละ นี่เราเจอญาติของฟางเทียนอวี้อย่างนั้นหรือ?
"แม่นาง เหตุใดจึงไม่ตอบ"
"เอ่อ หม่อมฉันชื่อฟางเหมยลี่เพคะ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ"
"ช้าก่อนแม่นาง ให้ข้าไปส่งเจ้าดีหรือไม่?"
"ไม่รบกวนท่านอ๋องดีกว่าเพคะ หม่อมฉันขอทูลลา"
ไม่รอให้ฟางเจียเอ๋อร์ได้เอ่ยสิ่งใด เซียวเหมยลี่ก็รีบเร่งเดินจากไปทันที ฟางเจียเอ๋อร์มองตามแผ่นหลังของนางที่เดินจากไปจนลับสายตา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์
จวนตระกูลเซียว
เมื่อกลับมาถึงจวน เซียวเหมยลี่ก็ได้พบกับข่าวร้ายที่คาดไม่ถึง นั่นก็คือ ท่านพ่อของนางได้ไปเซ็นค้ำเงินกู้ให้สหายสนิท แต่สหายผู้นั้นกลับหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย เจ้าหนี้จึงนำสัญญากู้ยืมมาทวงที่จวนตระกูลเซียว หนี้สินก่อนใหญ่ไม่ใช่น้อยๆ ยามนี้บิดาและมารดาของนางต่างคิดไม่ตกว่าจะทำเช่นไรดี สำนักร้อยบุปผาเห็นคราต้องปิดตัวลงก็คราวนี้ แม้จวนตระกูลเซียวจะมีรายได้จากสำนักร้อยบุปผาไม่เคยขาด แต่ทว่าก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนขุนนางผู้ใหญ่คนอื่นๆ เพียงแค่เป็นเศรษฐีใหม่เท่านั้น
เซียวเหมยลี่ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะหันมาเอ่ยกับอิงเย่ว์
"เห็นทีหากท่านพ่อหาเงินร่วมแสนตำลึงไปคืนพวกมันไม่ได้ สำนักร้อยบุปผาคงจะถูกยึดไปใช้หนี้แทนเป็นแน่"
อิงเย่ว์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
"หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลเซียวคงไร้ทางทำมาหากินเป็นแน่!!"
"นั่นสิ!!ท่านพ่อนะท่านพ่อ เหตุใดจึงไว้ใจคนง่ายถึงเพียงนั้น"
"เราจะทำเช่นไรกันดีเหมยลี่"
"ขอข้าคิดหาหนทางเสียหน่อย ระหว่างนี้ข้าฝากเจ้าดูแลท่านพ่อท่านแม่ข้าแทนข้าที ท่านอ๋องใกล้จะหายเต็มทีแล้ว ข้าจะเร่งรักษาเขาจะได้รีบกลับจวนมาช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องนี้"
"อืม"
หลังจากอยู่สนทนากันอีกสองสามประโยค เซียวเหมยลี่ก็เดินทางกลับจวนชินอ๋องทันที เมื่อกลับมาถึงก็พบกับฟางเทียนอวี้ที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้หน้าเรือนใหญ่พอดี
"เจ้ากลับมาช้าหนึ่งเค่อ ความจริงต้องถูกลงโทษ แต่เพราะข้าเกิดมาหล่อเหลาและจิตใจดี จึงไม่ถือสาหาความกับเจ้า"
"ขอบพระทัยในความหล่อเหลาของท่านอ๋องเพคะ"
"พูดได้ดี"
เซียวเหมยลี่ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม วันนี้นางไม่มีอารมณ์มาถกเถียงสิ่งใดกับเขา นอกจากต้องครุ่นคิดเรื่องที่จวนของตนเอง
ฟางเทียนอวี้มองตามเซียวเหมยลี่ที่เดินจากไปด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะหันไปสั่งพ่อบ้านโจว
"ไปสืบมา ว่าตระกูลเซียวระยะนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้างหรือไม่?"
"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"
เมื่อพ่อบ้านโจวออกไปทำตามคำสั่งแล้ว ฟางเทียนอวี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เห้อ!!เบื่อตนเองจริงๆ หล่อแล้วยังใส่ใจผู้อื่นอีก เหตุใดข้าจึงเกิดมาสมบูรณ์แบบได้ถึงเพียงนี้กันนะ