บทที่ 4
หลังจากยื่นใบลาออกแล้ว หญิงสาวก็เดินไปในร้านคอฟฟี่ช็อปยี่ห้อดังเพื่อหากาแฟเย็นดื่มให้พอชื่นใจ แต่ระหว่างที่นั่งหลบมุมจิบกาแฟอยู่นั้น ก็บังเกิดเสียงกระซิบกระซาบที่แม้จะพยายามทำให้เบา แต่มันก็ลอยเข้ามากระทบโสตเธออยู่ดี ที่สำคัญมันเป็นเรื่องนินทาเกี่ยวกับพี่สาวของเธอ
“นี่...เมื่อกี๊ พี่กี้ฝ่ายบุคคลเล่าให้ฉันฟังว่าจันทร์กระจ่างฟ้าลาออกจากงาน” เสียงผู้หญิงแหลมเล็กนั้นทำให้การะบุหนิงยืดตัวตรงและทำท่าเป็นหยิบมือถือขึ้นมากดดูนั่นดูนี่ทั้งที่หูก็ตั้งใจฟังการสนทนาของสามสาวด้านหลังอย่างออกรสพลางกระตุกยิ้มเหยียด...เวลาพักกลางวัน มันคือเวลาของการซุบซิบนินทาดีๆ นี่เอง เป็นกันทุกที่ทุกบริษัทจริงๆ...แม่สามสาวคงคิดว่าในร้านคอฟฟี่ช็อปนี้คนเข้าออกตลอดเวลา แถมช่วงกลางวันคนยิ่งเยอะ คงไม่มีใครได้ยินการสนทนาของพวกหล่อนแต่สำหรับการะบุหนิงแล้ว เธอได้ยินมันอย่างชัดเจนทีเดียว
“จริงหรือ เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อวันก่อนก็ยังเห็นทำงานอยู่ดีๆ อยู่เลย” สาวอีกคนแย้ง
“โอ๊ย...นี่ยัยฟ้า ก็ใครมันจะไปทนได้ล่ะจ๊ะ ในเมื่อตัวเองกำลังตกกระป๋อง นี่ฉันจะบอกอะไรให้นะว่าพักหลังๆ มานี่เหมือนยัยจันทร์กับคุณอคิราห์เขามึนๆ ตึงๆ ใส่กันยังไงไม่รู้”
“เอ้า...ก็พวกเธอไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้คุณแองจี้เขากลับมาจากเมืองนอกแล้ว นั่นน่ะเขาเป็นคนรักตัวจริงของคุณอคิราห์ไม่ใช่หรือยะ ตัวสำรองมันก็ต้องหลบทางตามระเบียบ” แม่สาวต้นเรื่องว่าเสียงสูงอย่างคนที่รู้อะไรมากกว่าเพื่อน และดูเจ้าหล่อนคงจะภูมิอกภูมิใจนักหนากับความสอดรู้สอดเห็นของตัวเอง
“นั่นสิ เฮ้อ...แต่ฉันว่าก็น่าสงสารยัยจันทร์อยู่นะ คุณอคิราห์เธอก็ออกจะเพอร์เฟ็กต์อย่างนั้น คงจะฝันหวานว่าจะได้นั่งเป็นคุณนายเจ้าของบริษัทแน่ๆ สุดท้ายกลายเป็นนกปีกหักร่วงหล่นจากท้องฟ้า” ยัยคนที่ชื่อฟ้าว่าแล้วก็พากันหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ ในแบบที่การะบุหนิงอยากจะบอกว่ามันคือเสียงหัวเราะของความสะใจเสียมากกว่า
ยามนั้น การะบุหนิงไม่รู้เลยว่าตัวเองกำโทรศัพท์ในมือแน่นขนาดไหน และต้องหักห้ามใจมากเท่าไหร่ที่จะไม่หันกลับไปด้านหลังพร้อมกับสาดกาแฟเย็นใส่กลางวงสนทนาของแม่สามสาวที่บังอาจมานินทาพี่สาวของเธอ แต่...อย่างน้อยคนพวกนั้นก็ทำให้เธอได้รู้ว่าใครที่ทำให้พี่จันทร์ของเธอต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเพียงนี้
ตอนแรกที่เธอรับรู้ ก็ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเอาราว เธอเลือกที่จะทำตามที่น้าป้อมบอกคือปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไป บวกกับเธอเริ่มมีปัญหาในที่ทำงานกับหัวหน้างานชีกอคนใหม่ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะลาออกจากงานเพื่อมาช่วยผู้เป็นน้าดูแลจันทร์กระจ่างฟ้า แต่สุดท้ายเธอก็ต้องหันกลับมาวางแผนเดินหน้าเข้าหาอคิราห์อีกครั้ง เมื่อในทุกๆ วันที่ตื่นมาเธอจะต้องทนเห็นพี่สาวคร่ำครวญร้องไห้และทำร้ายตัวเองทุกครั้งเพราะตัวเองจำอะไรไม่ได้ และทุกๆ คืน เธอจะเห็นน้าป้อมแอบนั่งร้องไห้ด้วยความสงสารลูกสาวจับหัวใจ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่สามารถนิ่งเฉยดูดายได้อีกต่อไป เธอจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวต้นเหตุรับรู้ถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่พี่สาวเธอได้รับ เรื่องที่เกิดขึ้นกับจันทร์กระจ่างฟ้า อคิราห์ต้องมีส่วนรับผิดชอบ!
หลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะทวงความเป็นธรรมให้พี่สาว การะบุหนิงก็ขออนุญาตน้าสาวกลับมาหางานทำที่กรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลว่าตัวเองชินกับการทำงานออฟฟิศมากกว่าอยู่กับสวนกับไร่ซึ่งเป็นธุรกิจของน้าป้อม จากนั้นก็ขอให้มิ่งโกมุทเพื่อนสาวที่เป็นนักข่าวสังคมช่วยหาข่าวเกี่ยวกับอคิราห์ให้ได้มากที่สุด และเคราะห์ดีที่ยัยมิ่งไปรู้มาว่า บริษัทรับเหมาก่อสร้างของอคิราห์กำลังเปิดรับสมัครเลขาส่วนตัวคนใหม่ของท่านประธาน...แน่นอนว่ามาทำงานแทนจันทร์กระจ่างฟ้า
ดังนั้น เพื่อไม่ให้คนในบริษัทโดยเฉพาะฝ่ายบุคคลจดจำเธอได้ การะบุหนิงจึงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมที่เคยยาวสลวยถูกตัดซอยสั้น ซึ่งเธอพบว่าเพียงแค่ทรงผมก็สามารถทำให้รูปหน้าเธอเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนกับตอนผมยาว อย่างน้อยหน้าเธอก็ดูเด็กลงไปกว่าครึ่ง ซึ่งเธอคิดว่ามันน่าจะเพียงพอที่จะทำให้คนในบริษัทจำเธอไม่ได้แล้ว เพราะถึงอย่างไร เธอก็เคยเข้าไปเหยียบที่นั่นแค่ครั้งเดียวตอนไปเขียนใบลาออกแทนจันทร์กระจ่างฟ้า แถมเคราะห์ดีที่เธอใช้นามสกุลคนละนามสกุลกับพี่สาวทำให้ง่ายที่จะไม่เป็นที่ผิดสังเกตของใคร
การะบุหนิงกระแทกหน้าปกปิดสมุดที่เต็มไปด้วยข้อมูลของอคิราห์ลงแล้วจับมันโยนใส่กล่องกระดาษที่เธอชอบเอาลังเปล่ามาตัดเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียงเงินซื้อใหม่และกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังเล็กของตัวเองพลางใช้สมองคิดต่อไปว่า ถ้าเกิดอคิราห์ไม่รับเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้เข้าไปใกล้ชิดเขา
ความเจ็บปวด...ไม่มีอะไรจะชดเชยได้ดีไปกว่า...ความเจ็บปวด...เช่นกัน