บทที่ 1 - ดั้นด้นมาก็เพื่อตามหา 4
ส่วนตระกูลซ่งในถังหนาน เหอเจ่อฮั่นก็สืบข่าวมาได้ว่ายามนี้ซ่งหานเฟิงในวัยก้าวย่างสิบหนาว ได้ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป โดยมีฝู่หลงฮวาและฝู่เหมาผู้เป็นมารดาและท่านตาคอยเป็นหลักยึดและเกราะกำบังให้เขา ทั้งยังมีองค์รัชทายาทหนานเว่ยหลงทรงให้ความเอ็นดูอยู่เบื้องหลัง
ส่วนบุรุษผู้หนึ่ง ที่ภายหลังเขาสืบรู้มาว่าเป็นพี่ชายคนที่สามของซ่งหานหนี่ว์ มีนามว่าหลีเฉิง ยามนี้ก็ได้ทำการเปิดสำนักคุ้มภัยและรับสอนวรยุทธไปด้วย ในนามของหอคุ้มภัยตระกูลหลี
เรียกได้ว่าห้าปีที่ผ่านมา ทุกคนล้วนแล้วแต่ทำใจเรื่องการจากไปของซ่งหานหนี่ว์ได้หมดแล้ว ยกเว้นซ่งหานหลิ่งเพียงคนเดียว
ระยะเวลาเจ็ดวันผ่านไปไวเสียยิ่งกว่าลมพัด ในตอนนี้บาดแผลที่ถูกสัตว์ป่าทำร้ายตามร่างกายของเหอเจ่อฮั่นเรียกได้ว่าเกือบจะหายดีเป็นปกติ
ทว่าระยะเวลาเจ็ดวันที่ผ่านมานั้น ซ่งหานหลิ่งไม่เอ่ยปากเจรจาพาทีกับเขาเลยแม้แต่ครึ่งคำ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“อาหลิ่ง!” คนป่วยที่เกือบจะหายเป็นปกติร้องเรียกเสียงดัง เมื่อมองไปเห็นเงาของคนที่เขาเฝ้ารอคอยมาทั้งวันโผล่มาให้เห็น
เจ็ดวันที่ผ่านมานอกจากในตอนเช้าและเย็นแล้ว เวลาอื่นเหอเจ่อฮั่นก็ไม่ได้เห็นหน้าซ่งหานหลิ่งอีกเลย อีกฝ่ายมักจะแบกกระบุงไม้ไผ่เดินเข้าไปในป่าทุกวัน ก่อนจะกลับมาในช่วงเย็นแล้วจากนั้นก็จะหุงหาอาหารแล้วต่างคนต่างนอน
“อาหลิ่ง! เหตุใดเจ้าไม่ยอมคุยกับข้าเลยเล่า!” เหอเจ่อฮั่นตะคอกถาม พร้อมกับขอบตาที่แดงระเรื่อราวกับเด็กน้อยสามขวบ
ความอึดอัดที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายวันทำให้เขาตัดสินใจโพล่งออกไปแบบนั้น เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิด เหตุใดอาหลิ่งจึงไม่พูดคุยกับเขา ทั้งยังปฏิบัติต่อเขาราวกับคนที่ไม่เคยนับกันเป็นมิตรสหาย
ซ่งหานหลิ่งมีสีหน้าตกใจไม่น้อย ที่บุรุษตัวโตพอๆ กับเขายืนร้องไห้ตาแดงราวกับเด็กน้อย ด้วยสาเหตุที่ว่าคือเขาไม่ยอมพูดคุยด้วย แต่จะให้เขาอธิบายให้ฟังอย่างไร ในเมื่อเขาคาดเดาถึงสาเหตุการมาที่นี่ของอีกฝ่ายไว้ว่าต้องมีเจตนาบางอย่างแอบแฝง ฉะนั้นการที่เขาไม่พูดคุยกับอีกฝ่ายจึงเป็นการตัดปัญหา เพราะตอนนี้เขาไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวใดๆ
“จะ...เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใด?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถามอย่างสงสัยระคนตกใจ
“ข้าทำอันผิดเล่าอาหลิ่ง ไยเจ้าจึงเฉยชากับข้าเช่นนี้ ข้าแค่...แค่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดีต่อไป ข้าไม่อยากให้เจ้าจมปลักอยู่กับความทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต!”
เหอเจ่อฮั่นพูดแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีก ทั้งยังทิ้งตัวลงไปนั่งที่พื้น ดีดแข้งดีดขาราวกับเด็กน้อยกำลังถูกบิดามารดาขัดใจ
เมื่อเห็นอาการของอีกฝ่าย คิ้วของหมอเทวดาหนุ่มก็ขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม ปกติเหอเจ่อฮั่นวางท่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ทั้งยังชอบทำตัวเองให้เป็นจุดสนใจ ทว่าอาการลงไปดีดแข้งดีดขาที่พื้นแบบนี้ มันดูจะเกินไปหน่อยหรือไม่?
“อาฮั่น เจ้าเป็นอะไร?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“ฮือๆ อาหลิ่ง ข้า...ข้าไม่รู้ ข้า ฮือๆ” เหอเจ่อฮั่นทั้งพูดทั้งร้องไห้ไปในคราวเดียวกัน
อาการแปลกประหลาดของอีกฝ่าย ทำให้หมอหนุ่มผู้เย็นชาร้อนรุ่มในอก ชายหนุ่มขยับกายเข้าไปใกล้คนที่ยังร้องไห้อยู่อีกนิด ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือสัมผัสชีพจรอีกฝ่ายเบาๆ
กลลืมกาย!
ร่างสูงมีสีหน้ามืดครึ้ม เมื่อลองจับชีพจรของเหอเจ่อฮั่นดูแล้วพบว่าร่างกายของเขายังปกติ ทว่ากิริยาอาการที่เปลี่ยนไปนั้นอาจจะมาจากสาเหตุอื่น
ซึ่งสาเหตุอื่นที่ว่านั้นก็คือสัตว์อสูร!
เพราะซ่งหานหลิ่งมีวรยุทธดีในระดับหนึ่ง อีกทั้งการถือครองพลังปราณธาตุโอสถ ก็ทำให้มีพลังในกายสูง สัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรขั้นต่ำจึงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ง่ายๆ
อีกทั้งตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่ แม้จะไม่ได้ใช้วิชาแพทย์รักษามนุษย์ ทว่าก็มีสัตว์ป่าและสัตว์อสูรไม่น้อยที่ได้รับการรักษาจากเขา เมื่อยามที่พวกมันมีชีวิตรอดจากการถูกล่าโดยมนุษย์
บอกไปใครจะเชื่อ ว่าป่าลึกที่อยู่บนยอดเขาสูงเช่นนี้จะมีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ไม่น้อย และการที่เหอเจ่อฮั่นมีอาการราวกับเด็กน้อยเช่นนี้ ก็คงไม่พ้นโดนมนตร์สะกดของสัตว์อสูรชนิดหนึ่งมา
ไก่เจ็ดสี!
“เจ้านี่ชอบหาเรื่องให้ตัวเองและข้าได้ไม่หยุดหย่อนจริงๆ เลยนะ” ซ่งหานหลิ่งออกปากบ่น
ไม่ง่ายเลยที่อยู่ๆ จะถูกสัตว์อสูรเช่นไก่เจ็ดสีทำร้ายเข้า แสดงว่าก่อนหน้านี้เหอเจ่อฮั่นจะต้องเดินออกไปที่ไหนสักแห่งในป่านี้มาอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกสัตว์อสูรโจมตีได้อย่างไร
อาการของคนที่ถูกไก่เจ็ดสีทำร้ายหรือว่าร่ายมนตร์ใส่นั้นไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นในทันที แต่จะแสดงอาการให้เห็นหลังจากที่ถูกมนตร์แล้วราวสองถึงสามเค่อ โดยอาการเบื้องต้นที่พบเห็นคือผู้ถูกมนตร์จะขาดสติสัมปชัญญะในการควบคุมร่างกายตนเอง แม้จะยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆ ทว่าพฤติกรรมทางร่างกายนั้นจะแสดงออกมาในทิศทางตรงข้าม
“ฮือๆ อาหลิ่ง”
“เอาล่ะๆ เจ้าหยุดร้องได้แล้ว” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังร้องไห้ไม่หยุด
“ข้า...ข้าก็อยากหยุด แต่มันหยุดไม่ได้ ฮึกฮือ...อาหลิ่งช่วยข้าด้วย”
ซ่งหานหลิ่งพ่นลมหายใจออกอย่างหนักอก ยิ่งเมื่อเหอเจ่อฮั่นกระเถิบกายเข้ามาใกล้ พร้อมใช้สองแขนโอบรอบลำตัวเขาไว้ หมอหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกราวกับว่าช่วงนี้ชะตาชีวิตของเขากำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรตามทันอย่างไรอย่างนั้น...