บทที่ 2 - ฮั่นเอ๋อร์สามขวบ 1
การคลายมนตร์กลลืมกายของไก่เจ็ดสีนั้น ทำได้โดยการให้ผู้ต้องมนตร์ได้ดื่มน้ำเปล่าที่เจือจางกับเลือดของตนเองและผู้ที่มีพลังปราณขั้นกลางขึ้นไปผสมกัน ด้วยเพราะไก่เจ็ดสีนั้นถือเป็นสัตว์อสูรขั้นกลาง แต่ไม่ใช่สัตว์อสูรประเภทจะส่งผลดีต่อผู้ครอบครองเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะความเชื่อที่ว่าพลังของมันไม่ใช่พลังของทวยเทพ แต่เป็นพลังของเหล่ามารปีศาจ
ฉะนั้นแล้ว เมื่อมียอดฝีมือพบเห็นสัตว์อสูรชนิดนี้ ส่วนมากก็จะฆ่าทิ้ง ผู้ใดใจกล้าหน่อยก็จะย่างกินเป็นอาหาร
ทว่าการจะสัมผัสไก่เจ็ดสีได้นั้น จะต้องสัมผัสตอนที่มันตายสนิทแล้ว มิเช่นนั้นก็จะถูกมันร่ายกลลืมกายใส่ จนกลายเป็นเด็กอย่างเช่นที่เหอเจ่อฮั่นกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ เพราะกลลืมกายนี้จะแฝงอยู่ในขนที่แพรวพราวระยิบระยับราวกับสายรุ้งของมันนั่นเอง
ในด้านการแพทย์แล้ว กลลืมการของไก่เจ็ดสีที่ว่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพิษของสัตว์อสูรชนิดหนึ่ง ทว่าวิธีการแก้พิษของมันนั้น ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นเพราะเหตุใดต้องแก้พิษด้วยการดื่มน้ำเปล่า เจือจางกับเลือดของคนถึงสองคน นั่นจึงทำให้พิษกลลืมกายนี้ยังคงเป็นมนตร์คาถาชนิดหนึ่ง ของสัตว์อสูรชนิดนี้นับตั้งแต่อดีตกาลมา
“อาฮั่น เจ้าอยู่นิ่งๆ หน่อยจะได้หรือไม่ ดีดดิ้นเช่นนี้ข้าจะช่วยถอนพิษให้เจ้าอย่างไร” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยขึ้นอย่างจนใจ
ผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูปแล้ว ที่เขาพยายามจะเจาะนิ้วเอาเลือดของเหอเจ่อฮั่นมาหยดผสมกับน้ำให้เขาดื่ม แต่กลายเป็นว่าเด็กน้อยในคราบของบุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้กลับกลัวเข็มไปเสียอย่างนั้น และด้วยสัดส่วนของลำตัวและความสูงที่ใกล้เคียงกัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ซ่งหานหลิ่งจะจับตัวเขาไว้ แล้วเจาะเลือดที่นิ้วออกมาอย่างดีๆ ได้
“ไม่เอาๆ กลัวเข็มๆ ฮั่นเอ๋อร์กลัวเข็มนะ ไม่เอาๆ” บุรุษตัวโตแต่มีจิตวิญญาณราวกับเด็กสาวขวบเอ่ยขึ้น ทั้งยังสะบัดแขนทั้งสองไปมา หันหน้าหันตาหนีเป็นพัลวัน
“ถ้าเจ้ามัวแต่กลัวก็จะไม่หายป่วยนะ” คนเป็นหมอว่า
“ฮั่นเอ๋อร์ไม่ได้ป่วย!” เหอเจ่อฮั่นเงยหน้าขึ้นเถียง
ซ่งหานหลิ่งมองแววตาดื้อรั้นนั้นด้วยความหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าตอนนี้กลลืมกายนี้ถลำลึกเข้าไปมากเท่าใดแล้ว เพราะเวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน เหอเจ่อฮั่นก็เริ่มที่จะควบคุมตนเองไม่ได้แล้ว อาการที่เห็นก็ยิ่งคล้ายคลึงกับเด็กลงไปมากทุกที
ทว่าเป็นการคล้ายคลึงแบบนับถอยหลัง ในตอนแรกเขาจะมีอาการคล้ายเด็กห้าขวบ ผ่านไปสักพักอาการก็เริ่มคล้ายเด็กสามขวบ และอาการก็จะค่อยๆ คล้ายเด็กเล็กลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเพียงเด็กทารกที่ไม่พูดไม่จา และถูกเข้าใจว่ากลายเป็นคนพิการไปในที่สุด
แต่ก่อนที่เหอเจ่อฮั่นจะไปอยู่ในจุดจุดนั้น ซ่งหานหลิ่งจะต้องช่วยถอนพิษให้เขาให้ได้เสียก่อน ไม่อย่างนั้น ต่อให้ดื่มเลือดผสมน้ำไปมากเท่าใดก็อาจจะไม่สามารถรักษาอาการนี้ได้ เพราะร่างกายไร้การตอบสนองแล้วนั่นเอง
“จะไม่ป่วยได้อย่างไร ดูที่แขนและเนื้อตัวของเจ้าสิ มีแต่บาดแผลมิใช่หรือ?” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยด้วยความใจเย็น ทั้งยังใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนเวลาที่เขาพูดคุยกับน้องสาวตัวน้อยในวัยเด็ก
“หือ แผล?” คนถูกพิษเอ่ยออกมาอย่างสงสัย ทั้งยังทำหน้าตาฉงนได้อย่างไร้เดียงสา “ฮั่นเอ๋อร์มีแผล”
“อืม...ใช่แล้วล่ะ เจ้ามีแผลและหากไม่รีบรักษา แผลพวกนี้ก็จะเน่ารู้หรือไม่ แล้วจากนั้นก็จะมีหนอนไต่ขึ้นมาบนตัวเจ้ายั้วเยี้ยมากมายเต็มไปหมด ถึงยามนั้นเจ้าก็คงจะกลายเป็นมนุษย์หนอนไปแล้ว”
“ไม่เอา! ฮั่นเอ๋อร์กลัวหนอน ไม่เอาหนอนนะ ท่านอาช่วยฮั่นเอ๋อร์ด้วย ฮั่นเอ๋อร์เกลียดหนอน!” คนเกลียดหนอนส่ายหน้าไปมาทั้งยังทำท่าทางขนลุกขนชัน ยามนึกภาพว่าเนื้อตัวตนเองเต็มไปด้วยหนอนยั้วเยี้ย
“เช่นนั้นก็ยอมให้ข้ารักษาเจ้าได้แล้วใช่หรือไม่?” คนถูกถามพยักหน้าหงึก ซ่งหานหลิ่งจึงจับให้เขานอนหงายลงบนเตียง
“ต้องถอดเสื้อผ้าฮั่นเอ๋อร์ไหม?” คนที่ยามนี้เป็นเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่เอ่ยถามขึ้น
“ไม่ต้องถอด จะถอดทำไม”
ชายหนุ่มว่าพร้อมกับค่อยๆ เลิกแขนเสื้อขึ้นไปกองไว้ตรงแขน เพื่อไม่ให้เกะกะบริเวณข้อมือ แม้ว่าเขาจะจิ้มเอาเลือดที่นิ้วอีกฝ่ายก็ตาม อย่างน้อยๆ ก็รวบเก็บไว้เพื่อไม่ให้มันรกสายตา
“ต้องถอดสิ ถ้าไม่ถอดจะรักษาแผลได้ยังไง ฮั่นเอ๋อร์มีแผลเต็มไปทั้งตัวเลยนะ ทั้งที่แขน ที่ท้อง หน้าอก แล้วก็ขาด้วย มีแผลเยอะแยะเต็มไปหมดเลย ถ้าไม่ถอดเสื้อทายาก็จะรักษาไม่หาย