ตอนที่ 10 สบประมาท
“อ่าวคุณอัคคี กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงของป้าเนียมหรือที่อัคคีเรียกว่าแม่นมดังขึ้น ส่งผลให้ทั้งสามคนหันไปมองก่อนที่ผู้หญิงที่อัคคีพามาด้วยจะหลบไปอยู่ด้านหลังของเขา “เกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรอคะคุณอัคคี”
“คู่ขาของผมเองครับ” อัคคีหันไปสบตากับคู่ขาก่อนจะบอกให้หล่อนกลับบ้านไป “คุณกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะโอนเงินให้ทีหลัง”
“ค่ะ” แต่หล่อนก็ไม่วายยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มของเขาอย่างไม่อายใครต่อใครแม้กระทั่งแม่นม พิมพ์ลดาได้แต่มองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด รีบเบนสายตาหนีเพราะทนดูไม่ได้
“บอกป้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนคุณอัคคีพาแม่หนูคนนี้มาแล้วก็หายไปโดยไม่บอกสักคำ แล้วคุณอัคคีไปแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมป้าไม่รู้เรื่องนี้”
“ผมแต่งงานเมื่อวานครับ” เขาตอบเสียงเรียบ ปรายตามองหัวเข่าของพิมพ์ลดาที่เลือดกำลังไหลอาบ หัวเข่าบวมจนช้ำเลือด แต่คนอย่างอัคคีไม่มีทางสนใจหรอก เขาไม่ขับรถชนก็บุญหัวเท่าไหร่แล้ว
“ตายจริง! ทำไมป้าไม่รู้เรื่อง นี่คุณอัคคีกำลังทำอะไรอยู่”
“เรื่องส่วนตัวครับป้า เอาเป็นว่าถ้าผู้หญิงคนนี้จะอยู่ที่นี่ก็เตรียมห้องให้เธอด้วย ไม่ใช่มานอนในห้องนั่งเล่นแบบนี้”
“ป้าสับสนไปหมดแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูน้อยของป้า แล้วแม่หนูคนนี้เป็นใคร ทำไมจู่ๆถึงมาแต่งงานกับคุณอัคคี”
“ผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวของนายเกรียงไกร”
“ห้ะ!! นะ...นายเกรียงไกร!”
“ครับ”
“ป้าจะเป็นลม คุณอัคคีไปพาเธอมาที่นี่ทำไม รู้ทั้งรู้ว่าเธอ..อะ....เอ่อ...”
“เอาเป็นว่าเรื่องนั้นเราค่อยคุยกันทีหลังดีกว่า ตอนนี้คุณป้าไปเตรียมห้องให้ผู้หญิงคนนี้เถอะครับ ผมมีเรื่องจะคุยกับเธอสองต่อสอง”
“ดะ...ได้ค่ะ” ป้าเนียมลอบมองพิมพ์ลดาด้วยสีหน้าลำบากใจ เธอก้มหน้า ไม่กล้าสบตา พอรู้ว่าเป็นลูกใครสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“ตกลงเธอจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม” เสียงเข้มดังขึ้น เขาถามโดยไม่มองหน้าเธอ เหมือนไม่ได้อยากให้เธออยู่ที่นี่ พิมพ์ลดาบีบมือเข้าหากันด้วยความรู้สึกประหม่า ได้แต่พูดกับตัวเองในใจว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“ค่ะ พิมพ์ยังไม่อยากกลับบ้าน พิมพ์กลัวคุณพ่อไม่สบายใจ”
“ถ้าเธอจะอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ควรจะมีขอบเขตกว่านี้เวลาที่ฉันพาคนอื่นเข้ามา ไม่ใช่ระรานคนอื่นไปทั่ว”
“....” พิมพ์ลดากันริมฝีปากจนห้อเลือด ดวงตาแสนเศร้าเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาเป็นระยะ เขาเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่มองหน้าเธอ “ต้องให้พิมพ์ดีใจหรอคะที่เห็นสามีพาคนอื่นเข้าบ้าน”
“ฉันบอกจุดยืนไปแล้วนะพิมพ์ลดา หวังว่าเธอคงจะเข้าใจ ถ้าจะอยู่ที่นี่ก็ต้องรับให้ได้”
“ก็ได้ค่ะ” พิมพ์ลดาก้มหน้าลงก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอย่างน่าอดสู เธอเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ เจ็บปวดเหลือเกินแต่ชายที่รักก็ยังไม่สนใจใยดี “บอกได้หรือเปล่าว่าพ่อพิมพ์ไปทำอะไรให้คุณขนาดนั้น พิมพ์พอจะแก้ไขมันได้ไหม”
“เธอแก้ไขอะไรไม่ได้พิมพ์ลดา ทั้งหมดมันคือเวรกรรมที่ครอบครัวของเธอต้องเจอ”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ก็ถ้าคุณไม่บอก พิมพ์จะไปรู้ได้ยังไง”
“ก็ลองไปถามพ่อของเธอดูสิว่าในอดีตเคยทำอะไรไว้ แต่มันจะกล้าบอกหรือเปล่าล่ะ” เขาหันมาสบตากับเธอ ไม่มีความเห็นใจอยู่ในแววตาคู่นั้น มีเพียงความแค้นที่พร้อมจะทำลายพิมพ์ลดาได้ทุกเมื่อ “อ้อ! ลืมไป ถ้าเธอถาม พ่อชั่วๆก็รู้สิว่าตอนนี้ลูกสาวสุดที่รักกำลังเจอกับอะไร”
“ถ้าเป็นเรื่องในอดีตที่พิมพ์ไม่รู้ พะ...พิมพ์ก็ไม่รู้จะถามใครแล้วค่ะ ถ้าคุณไม่บอก มันก็จะคาอยู่ในใจพิมพ์แบบนี้”
“เก่งนักก็ตามสืบเองสิว่าเรื่องอะไร แต่ลูกที่ไม่เอาไหนอย่างเธอมันจะไปได้สักกี่น้ำ นอกจากจะอ่อนแอแล้วก็ยังไม่เก่งอะไรเลย ก็ไม่แปลกที่บริษัทจะเจ๊งเพราะมีลูกที่ไม่เอาไหนนี่เอง”
“พิมพ์มีเหตุผลค่ะ งานที่คุณพ่อทำค่อนข้างใช้แรง ต้องเดินทางไปพบปะลูกค้าทุกวัน พิมพ์เลยช่วยได้แค่งานในบริษัท”
“ก็เพราะเธอเป็นแบบนี้ไงบริษัทถึงตกไปอยู่ในมือของคนอื่น คิดหรอว่าฉันจะเอาผู้หญิงอ่อนแอแบบนี้มายืนเคียงข้าง คนที่จะเป็นภรรยาของฉันจริงๆ ต้องเก่ง ต้องกล้า และต้องไม่กลัวเหนื่อย ดูอย่างเธอสิ ทำงานนิดๆหน่อยๆก็เหมือนคนจะตาย แบบนี้คงต้องให้ผัวเลี้ยงไปทั้งชีวิตสินะ”
“พิมพ์ทำได้ค่ะ แต่อาจจะช้ากว่าคนอื่น พิมพ์รู้ตัวว่าทำงานหนักไม่ได้ แต่พิมพ์ก็พยายามนะคะ”
“งั้นหรอ....แล้วเหตุผลอะไรล่ะที่เธอทำงานหนักไม่ได้ ขี้เกียจสันหลังยาวมากกว่า เกิดเป็นคุณหนูพิมพ์ลดานี่ช่างสุขสบายจังเลยนะ แทบไม่ต้องทำอะไร พ่อประเคนให้ทุกอย่าง เพราะแบบนี้ไงเลยทำอะไรไม่เป็น”
“พิมพ์ทำได้ค่ะ คุณอัคคีอยากให้พิมพ์ทำอะไรก็บอกมาเลย” พิมพ์ลดาจิกเท้าลงบนพื้น อยากลบคำสบประมาทที่อัคคีบอกว่าเธอไม่เอาไหน ทำอะไรไม่ได้ ใจเธอสู้ แต่ร่างกายไม่ไหวเพราะเป็นคนเหนื่อยง่าย พ่อของเธอก็เลยไม่ให้ทำงานหนัก
“อยากทำอะไรล่ะ”
“พิมพ์ทำได้หมดค่ะ พิมพ์อยากลบคำสบประมาทที่คุณอัคคีบอกว่าพิมพ์ทำอะไรไม่ได้”
“ฉันกำลังจะปลูกต้นไม้พอดี” ชายหนุ่มเบ้ปากมองนาฬิกาเรือนหรูอยู่บนข้อมือ “แต่แดดช่วงบ่ายอาจจะร้อนหน่อยนะ เธอทำได้ใช่ไหม”
“…” พิมพ์ลดาสบตากับเขานิ่งๆ นอกจากรดน้ำต้นไม้ เธอก็ไม่เคยทำอะไรอีกเลยเพราะพ่อไม่ให้ทำ ยิ่งงานกลางแจ้งก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย แต่เธอแค่อยากลบคำสบประมาท “ทำได้ค่ะ จะให้พิมพ์ทำอะไรล่ะคะ”
“มีแปลงดอกกุหลาบอยู่หน้าบ้านสามแปลง ขุดให้เสร็จภายในวันนี้ แล้วฉันจะลงมาดูงานอีกที” พูดจบเขาก็หันหลังเดินขึ้นชั้นสองไป ทิ้งให้พิมพ์ลดายืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง
ช่วงนี้เป็นฤดูร้อนพอดี แค่ยืนอยู่ในบ้านไอแดดยังรอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ถ้าไปยืนอยู่กลางแจ้งแทบไม่อยากจะคิดเลย
หญิงสาวยกมือแตะหน้าอกบริเวณที่เคยผ่าตัด อาจเป็นเพราะเธอผ่าตัดตั้งแต่เด็ก รอยแผลก็เริ่มจางไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ถ้าไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยผ่าตัดลิ้นหัวใจมาก่อน อัคคีเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน เหตุผลนี้เธอจึงเป็นคนเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ทำงานหนักไม่ได้แม้จะหายดีแล้วก็ตาม