ความจริง
อลิซ.....
"ก็อย่างที่ฉันเคยบอกเธอว่าฉันอยากจะทำหน้าที่พ่อที่ดีให้กับลูกแล้วก็อยากกลับไปทำหน้าที่สามีที่ดีให้กับเธอ เธอจะให้โอกาสฉันได้ไหมลิซ ฉันสัญญาว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"
"นายอย่ามาพูดอะไรที่มันไร้สาระได้ป่ะ"
"ฉันไมไ่ด้ไร้สาระฉันพูดความจริง เธอลองให้โอกาสฉันสักครั้งไม่ได้เหรอ แค่ครั้งเดียว"
"แต่ฉันมีคนคุยแล้ว เรากำลังศึกษาดูใจกันอยู่" ฉันตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป
"ใคร"
"ผมเอง^^"
"ไอ้มาร์ช??"
"สวัสดีครับเต ลิซ^^" พี่มาร์ชเข้ามาทักพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น ทุกคนคงสงสัยว่าพี่มาร์ชมาได้ไง คือตอนอยู่สวนสนุกพี่มาร์ชโทรมาหาฉันพอดีบอกว่าอยากชวนฉันกับน้องติณณ์ไปทานข้าวที่บ้านเพราะแม่พี่มาร์ชอยากเจอ ฉันก็เลยบอกไปว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่สวนสนุกกับลูกแล้วก็เต พี่มาร์ชถามฉันว่าฉันให้อภัยเตแล้วเหรอพี่มาร์ชบอกว่าดูท่าทางของเตแล้วเหมือนเขาจะอยากกลับมาคืนดีกับฉัน เขาขอโอกาสจากฉันหรือเปล่า ฉันก็บอกพี่มาร์ชไปตามตรงว่าใช่
"แล้วลิซจะให้โอกาสเค้ามั้ย"
"ไม่หรอกค่ะ ลิซไม่อยากกลับไปอยู่ในจุดเดิมอีก"
"ถ้าอย่างงั้น ถ้าพี่จะขอ...เอ่อ ขอจีบลิซลิซจะว่าอะไรพี่หรือเปล่า" พอฉันได้ยินแบบนั้นฉันก็อึ้งไปเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าพี่มาร์ชก็กล้าพูดแบบนี้ออกมาตรงๆ
"พี่มาร์ชคะ ลิซไม่คู่ควรกับพี่หรอกนะคะ"
"อะไรที่ทำให้ลิซคิดว่าไม่คู่ควรกับพี่"
"พี่มาร์ชเป็นคนดีควรจะได้เจอผู้หญิงที่ดีพร้อมไม่ใช่ผู้หญิงลูกติดแบบลิซ"
"แล้วไงครับ พี่รักลิซที่เป็นลิซ พี่รู้ว่าลิซรู้ว่าพี่รู้สึกกับลิซแบบไหน รู้สึกมานานแค่ไหน ส่วนน้องติณณ์พี่เองก็เอ็นดูแกเหมือนลูก ถ้าลิซจะบอกว่าลิซไม่คู่ควรกับพี่เพราะลิซมีลูก ถ้างั้น...ถ้าพี่บอกความจริงกับลิซว่า...พี่เองก็มีลูกติดเหมือนกัน"
"พี่มาร์ชว่าไงนะคะ"
"น้องมุ่ยคือลูกสาวของพี่เอง"
"แล้ว...."
"ลิซจะถามถึงแม่ของน้องมุ่ยใช่มั้ย"
"เอ่อ..ค่ะ"
"แม่แท้ๆของน้องมุ่ยเค้าไม่ตอ้งการน้องมุ่ย" หลังจากนั้นพี่มาร์ชก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฉันฟังว่า หลังจากพี่มาร์ชรู้ว่าฉันกับเตเป็นแฟนกันพี่มาร์ชก็พยายามที่จะตัดใจจากฉันเขาก็เลยเปิดใจให้ใครสักคนเข้ามาและคนๆนั้นก็คือแม่ของน้องมุ่ยเธอชื่อว่าพิมม์ดาวเธอเป็นเพื่อนของพี่มาร์ชและหลงรักพี่มาร์ชมานานแล้ว พี่มาร์ชก็เลยตัดสินใจขอเธอเป็นแฟนหลังจากนั้นไม่นานพี่มาร์ชก็ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศส่วนพิมพ์ดาวพอรู้ว่าพี่มาร์ชต้องไปเรียนต่อต่างประเทศเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรบอกว่าจะรอเขากลับมาโดยที่ไม่รู้ว่าช่วงนั้นตนเองตั้งท้องน้องมุ่ย ผ่านไปสักสามเดือนพิมพ์ดาวก็ติดต่อมาบอกว่าเธอตั้งท้องได้สี่เดือนกว่าแล้วและเธอจะเอาลูกออกเพราะที่บ้านของเธอบีบบังคับให้เธอไปเอาเด็กออก ตอนนั้นพี่มาร์ชตกใจมากเพราะไม่คิดว่าพิมพ์ดาวจะท้องเพราะทุกครั้งที่มีอะไรกันพี่มาร์ชป้องกันทุกครั้ง แต่ตอนนั้นพี่มาร์ชไม่รู้จะทำยังไงและคิดว่าพิมพ์ดาวคงไม่โกหก พี่มาร์ชก็เลยรีบโทรหาที่บ้านและขอให้ช่วยดูแลพิมพ์ดาวให้หน่อย คือช่วงนั้นพี่มาร์ชไม่สามารถบินกลับมาจัดการอะไรเองได้เพราะเป็นช่วงล็อคดาวน์ห้ามออกนอกประเทศ พี่สาวพี่มาร์ชช่วยจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้พิมพ์ดาวมาอาศัยอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลเพราะถึงยังไงเด็กในท้องก็คือหลาน คือทุกคนในบ้านพี่มาร์ชต่างก็ดีใจที่จะมีหลานตัวน้อย ทุกคนดูแลเอาใจใส่พิมพ์ดาวเป็นอย่างดีจนกระทั่งพิมพ์ดาวคลอดที่โรงพยาบาลและพอถึงกำหนดออกจากโรงพยาบาลพิมพ์ดาวหายตัวไปพร้อมจดหมายว่ายกลูกให้เพราะเธอไม่ได้ต้องการเด็กคนนี้ ตอนนั้นทุกคนพากันงงและไม่เข้าใจเวลาผ่านไปจนน้องมุ่ยอายุครบ6เดือนทุกคนเริ่มสังเกตว่าทำไมน้องมุ่ยแกถึงออกแนวลูกครึ่งผมแกเริ่มมีสีทองอ่อนๆเพราะพิมพ์ดาวเองก็เป็นไทยแท้พี่มาร์ชเองก็เช่นกัน แม่พี่มาร์ชก็เลยพาน้องมุ่ยไปตรวจดีเอ็นเอผลปรากฏออกมาว่าน้องมุ่ยไม่ใช่ลูกพี่มาร์ช ตอนนั้นทุกคนต่างสับสนว่าจะว่าเอายังไงดี คือตอนนั้นทุกคนรักน้องมุ่ยเพราะแกเป็นเด็กน่ารักเลี้ยงง่ายเป็นขวัญใจของคนทั้งบ้าน หลังจากปรึกษาหารือกันเสร็จทุกคนก็ลงความเห็นกันว่าจะรับเลี้ยงน้องมุ่ยต่อไปโดยจะให้พี่หมวยพี่สาวกับพี่เขยพี่มาร์ชรับแกเป็นลูกอย่างถูกต้องตามกฏหมายน้องมุ่ยจะได้ไม่รู้สึกว่าแกขาดพ่อและแม่ และจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพ่อแท้ๆของน้องมุ่ยคือใคร แต่ทุกคนก็ไม่ได้ตามหาความจริงทุกคนทิ้งอดีตนั้นไว้ข้างหลังและตั้งใจเลี้ยงน้องมุ่ยมาอย่างดีจนถึงทุกวันนี้โดยคนที่ส่งเสียเลี้ยงดูออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้น้องมุ่ยก็คือพี่มาร์ชเพราะพี่มาร์ชถือว่าแกคือลูกสาวของเขา
คือพอฉันได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างแล้วฉันรุ้สึกสงสารน้องมุ่ยมากๆ แต่แกยังโชคดีที่คนในครอบครัวต่างรักและให้ความสำคัญกับน้องมุ่ยทุกวันนี้น้องมุ่ยจะเรียกพี่มาร์ชกับยัยเมย์ว่าอา พี่มาร์ชบอกว่าถึงยังไงน้องมุ่ยก็คือลูกสาวของเขาแม้แกจะเรียกเขาว่าอาก็ตาม
"พี่กับลิซเราก็ไม่ต่างกันเลยนะพี่เองก็มีลูกติดเหมือนกันเพราะฉะนั้นลิซจะมาอ้างอะไรอีกไม่ได้แล้วนะ"
".........."
"หรือลิซยังรักเตอยู่ลิซถึงพยายามปฏิเสธพี่"
"ก็..คือ...." ฉันไม่รู้จะปฏิเสธพี่มาร์ชยังไงเพราะมันคือความจริง
"งั้นไม่เป็นไร ถือว่าพี่ไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเราก็แล้วกันเนอะ" เสียงพี่มาร์ชซึมลงจนฉันรู้สึกได้
"พี่มาร์ชคะ คือลิซยอมรับว่าลิซยังรักเตอยู่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลิซจะอยากกลับไปหาเค้า..เอางี้มั้ยคะเราลองศึกษาดูใจกันก่อนลองคุยๆกัน" ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันพูดออกไปแบบนั้น แต่ฉันก็พูดออกไปแล้ว
"ลองคุย หมายถึง..."
"ก็ลองคุยไงคะ ถ้า เอ่อถ้าไปกันได้เราก็ค่อยว่ากันอีกที" ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ฉันควรจะตัดใจจากเตได้สักทีและคนที่ฉันจะลองเปิดใจก็คือพี่มาร์ช มันคงไม่ผิดใช่ไหมที่ฉันทำแบบนี้ถึงมันจะไม่แฟร์กับพี่มาร์ชที่รักฉันมาตลอดแต่ฉันไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเขาเลยมาตลอดหลายปีที่รู้จักกันมา
"โอเคครับ ตกลงเราก็เป็นคนคุยกันไปก่อนเนอะ" น้ำเสียงพี่มาร์ชสดใสขึ้นมาทันทีจนฉันอดยิ้มไม่ได้ หลังจากนั้นฉันก็บอกกับพี่มาร์ชว่าเดี๋ยวฉันกับเตจะพาลูกไปทานอาหารที่ห้าง พี่มาร์ชก็เลยบอกว่าจะตามมาฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร
"มาได้ไง" เตถามพี่มาร์ชด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
"ก็ขับรถมาจากบ้านไงเพราะถ้าให้เดินมาคงยังไม่ถึง^^" พี่มาร์ชตอบพร้อมกับยิ้มให้เตซึ่งฉันรู้ว่าพี่มาร์ชตั้งใจกวนเตด้วยคำพูด
"ไอ้เชี่ยนี่ กวนตีนกู" เตสถบออกมาแม้จะไม่ได้ดังมากแต่ฉันที่ยืนอยู่ข้างๆก็ยังได้ยิน
"แล้วนี่น้องติณณ์ไปไหนเหรอพี่ไม่เห็นเลย" พี่มาร์ชเลิกสนใจเตแล้วหันมาถามฉัน
"แกเล่นอยู่ที่บ้านบอลน่ะค่ะลิซกับเตกำลังจะเดินไปหาเพราะคงครบกำหนดเวลาแล้ว"
"ถ้างั้นเราก็ไปรับแกแล้วไปบ้านพี่กันเลยดีมั้ย"
"อะไร จะพาน้องติณณ์ไปไหน" เตหันมาถามฉันด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
"พอดีผมจะพาน้องติณณ์กับอลิซไปทานอาหารที่บ้านน่ะ"
"ใครอนุญาต"
"เอ่อ ต้องมีใครอนุญาตด้วยเหรอ พอดีผมคุยอลิซซึ่งเป็นแม่แท้ๆของน้องติณณ์ไว้แล้วว่าจะพาแกไปที่บ้าน"
"แต่กูเป็นพ่อ มึงไม่มีสิทธิ์พาลูกกูไปไหนทั้งนั้น" เตขึ้นมึงขึ้นกูกับพี่มาร์ชจนฉันต้องรีบปราม
"เตนายทำไมพูดมึงกูแบบนี้กับพี่มาร์ชมันไม่เพราะเลยนะเกิดลูกมาได้ยินทำยังไง"
"ทำไมจะพูดไม่ได้มันไม่ใช่พ่อฉันนิ่"
"ใช่ครับผมไม่ใช่พ่อคุณแต่อนาคตผมอาจจะเป็นพ่อของน้องติณณ์ก็ได้นะครับ"
"มึงพูดแบบนี้หมายความว่าไง"
"ก็หมายความว่าตอนนี้ผมกับลิซเรากำลังศึกษาดูใจกันอยู่ หลังจากนั้นเราสองคนก็คงจะแต่งงานกันถึงตอนนั้นน้องติณณ์ก็ต้องเรียกผมว่าพ่อ^^"
"เหอะ ฝันไปเหอะ"
"ไม่ฝันหรอกครับ เรื่องจริงล้วนๆ ผมว่าผมจะจัดงานแต่งงานให้ใหญ่โตสมฐานะของเจ้าสาวของผมโดยมีน้องติณณ์ขึ้นไปบนเวทีด้วยกันยืนข้างกันสามคนพ่อแม่ลูกเตคิดว่ามันจะเป็นภาพที่สวยงามและน่ารักมั้ยครับ"
"รอให้วันนั้นมาถึงก่อนเหอะค่อยโม้"
"ให้กำลังใจผมด้วยละกันนะครับ^^"