บทที่ 8 ยาสารชีวภาพ
หลี่ผู่ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อย่าเหมารวมเห็นทุกคนต่างล้วนเป็นคนเลวทรามเช่นนั้นทั้งสิ้น”
“แกนั่นแหละคนเลว อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออกแกมีจุดประสงค์อะไร” เด็กสาวก่นด่าอย่างโกรธเคือง
หลี่ผู่ถอนหายใจแล้วคำหนึ่ง ยามนี้เองโจวอู่ฉู้พูดว่า “หนูออกไปเลยนะ”
เด็กสาวสีหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้น แต่สุดท้ายยังคงกลั้นน้ำตาคลอเบ้าพลางออกไปแล้ว
โจวอู่ฉู้มองมาทางหลี่ผู่กล่าวว่า “เธอโจวรั่วหนานเป็นหลานสาวของฉัน เด็กน้อยยังไม่รู้ประสีประสาเข้าใจเรื่องราว คุณอย่าถือสาโกรธเคืองเลย”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ว่าท่านโจวทำไมคุณถึงเชื่อผมมากขนาดนี้ล่ะ?” หลี่ผู่ถาม
โจวอู่ฉู้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ปีนี้ฉันอายุมากกว่าเจ็ดสิบแล้ว ประสบกับเรื่องราวต่างๆ มาแล้วมาก โลกนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ฉันยอมรับว่าฉันแก่แล้ว แต่ฉันก็เชื่อเช่นกันว่า ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อคนเรากำลังจะตายนั้นล้วนมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันเองก็เช่นกัน”
“ท่านโจวช่างตรงไปตรงจริงๆ ถ้างั้นเราเริ่มกันเลยดีกว่า” หลี่ผู่ยิ้มพลางพูดขึ้น
โจวอู่ฉู้ยิ้มคราหนึ่ง จากนั้นก็ถอดเสื้อท่อนบนออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นเต็มไปหมดทั่วร่างกาย
บนร่างกายเขาบาดแผลดาบก็มีมากกว่าสิบแห่ง บาดแผลจากกระสุนปืนห้าหกแห่ง บนร่างกายแทบไม่มีส่วนที่สมบูรณ์ดีเลย ดูแล้วน่าสะพรึงกลัวนัก
หลี่ผู่ทอดถอนใจอย่างลึกซึ้งพร้อมกล่าวว่า “ทำให้คุณลำบากแล้ว”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ตอนนั้นก็เพราะชีวิตมันหมดหนทาง จึงต้องกระทำด้วยความจำเป็น ไหนเลยจะยิ่งใหญ่อย่างที่เด็กสาวนั้นพูดเล่า” โจวอู่ฉู้กล่าวเสียงเรียบๆ
หลี่ผู่ยิ้มน้อยๆ ทาบฝ่ามือไว้บนแผ่นหลังของโจวอู่ฉู้ พลังทิพย์ระลอกหนึ่งถูกถ่ายทอดเข้าไปในร่างกายของโจวอู่ฉู้อย่างช้าๆ
หลี่ผู่ชักนำพลังทิพย์อย่างระมัดระวัง โคจรอยู่ภายในร่างกายของโจวอู่ฉู้ เขากล่าวว่า “จดจำเส้นทางโคจรเอาไว้ให้ดี ต่อไปก็โคจรในลักษณะแบบนี้”
โจวอู่ฉู้พยักหน้าเล็กน้อย หลี่ผู่ชักนำพลังทิพย์โคจรต่อไป
หลังจากโคจรพลังทิพย์มาบรรจบกันครบสามสิบหกรอบแล้ว หลี่ผู่ก็ค่อยๆ คลายฝ่ามือออก
ยามนี้โจวอู่ฉู้หายใจยาวๆ คายลมปราณเสียออกมาแล้วคำหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความสะท้านตื่นตระหนก
ตอนนี้เขารู้สึกหายใจปลอดโปร่งโล่งสบายมากขึ้น ไม่มีความรู้สึกอึดอัดคับข้องอีกต่อไป แม้กระทั่งร่างกายก็รู้สึกเบาขึ้นเยอะ ดูเหมือนว่าเซลล์ทุกส่วนก็ยังกำลังแผ่พลังชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ มองไปที่หลี่ผู่พลางโค้งคำนับคารวะอย่างลึกซึ้ง พูดว่า “คุณช่างเป็นเทพองค์หนึ่งจริงๆ ”
“ชมเกินไปแล้วครับ” หลี่ผู่รีบประคองโจวอู่ฉู้ขึ้นมา
โจวอู่ฉู้นั่งลงใหม่อีกครั้ง กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “ช่างเป็นเทพเดินหนในโลกจริงๆ เลยนะ นับว่าฉันได้เปิดหูเปิดตาแล้วเชียว”
“ท่านโจว ให้คนเอาพู่กันและหมึกมา ผมจะเขียนเคล็ดวิชาออกมาให้คุณ” หลี่ผู่กล่าว
โจวอู่ฉู้โบกมือ คนรับใช้ก็นำกระดาษและปากกามาให้ทันที
หลี่ผู่ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มขีดเขียนและวาดภาพขึ้นมา
ครู่เดียวต่อมาเขากล่าวว่า “นี่เป็นเคล็ดมังกรฉบับย่อระดับพื้นฐานขั้นต้นที่ฉันฝึกบำเพ็ญมา คุณฝึกบำเพ็ญตามเคล็ดวิชานี้ ย่อมสุขภาพแข็งแรงร้อยโรคมิกล้ำกรายและยืดอายุขัยยืนยาวมากขึ้น”
“ขอบคุณหนุ่มน้อยมากนะ” โจวอู่ฉู้เหมือนเช่นได้รับสมบัติวิเศษล้ำค่า ประคองขึ้นอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลี่ผู่ลุกขึ้นกล่าวว่า “ต้องขอตัวอำลาครับ”
โจวอู่ฉู้รีบลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย มาส่งถึงหน้าบ้านด้วยตัวเอง และขอข้อมูลการติดต่อไว้ แล้วจึงอำลาอย่างอาลัยอาวรณ์
หลังจากส่งหลี่ผู่จากไป โจวอู่ฉู้กลับเข้าไปในบ้าน ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอารมณ์ต่างๆ อย่างหลากหลาย
ยามนี้เองโจวรั่วหนานลงมาจากชั้นบนพอดี มองเห็นขอบตาคุณปู่สีแดงก่ำ
โจวอู่ฉู้ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยนิดเพียงแค่พูดว่า “เอาใบชาต้าหงผาว บุหรี่เกียรติดีและไวน์ชั้นเลิศมา ไปส่งถึงคฤหาสน์เลขที่สิบแปดมอบให้อาหลี่ อย่าลืมขอบคุณเขาด้วยล่ะ”
“คุณปู่ คุณยังเชื่อถือนักต้มตุ๋นคนนั้นอยู่อีกหรือ?” โจวรั่วหนานอดที่จะร่ำร้องตะโกนขึ้นไม่ได้
โจวอู่ฉู้ก็พูดอย่างโกรธเคืองเช่นกันว่า “ใช่นักต้มตุ๋นหรือไม่ฉันไม่รู้ เรียกให้หนูไปหนูก็ไปสิ ไม่ยอมไปก็ไสหัวกลับไปที่มหาวิทยาลัยการแพทย์เธอ อย่ามากวนใจฉันในที่นี้”
โจวรั่วหนานรู้สึกคับแค้นใจจนแทบร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เมื่อเห็นคุณปู่โกรธเคืองมากถึงขนาดนี้ เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่จัดการสิ่งของต่างๆ ที่คุณปู่สั่งอย่างเงียบงัน แล้วให้คนขนเอาขึ้นไปไว้บนรถ
สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่รวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาส่วนหนึ่งมอบให้ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นของดีไม่สามารถหาซื้อจากข้างนอก อย่างน้อยก็มีมูลค่าหลายแสน เมื่อนึกถึงต้องนำไปมอบให้นักต้มตุ๋นคนนั้น โจวรั่วหนานก็โกรธเคืองขึ้นมาทันที
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงขับรถมาถึงหน้าคฤหาสน์เลขที่สิบแปด ทว่าเธอไม่ได้ลงรถ แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรไป
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนรับสายแล้ว โจวรั่วหนานพูดว่า “คุณพ่อ คุณรีบกลับมาจัดการหน่อยเถอะ ตอนนี้คุณปู่ชราจนเลอะเลือนไปแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงทุ้มต่ำซึ้งดังมาจากทางสายด้านนั้น
โจวรั่วหนานกล่าวว่า “คุณปู่ถูกชายหนุ่มเยาว์วัยคนหนึ่งหลอกลวงแล้ว บอกว่าสามารถรักษาเขาให้หายได้ ตอนนี้คุณปู่เชื่อใจเขามาก ยังให้หนูส่งของขวัญให้เขาด้วยนะ”
ทางด้านนั้นเงียบขรึมแล้วครู่ใหญ่ๆ จึงพูดว่า “ก็ทำตามที่ปู่เธอต้องสั่งก่อน แล้วฉันจะรีบกลับไปจัดการ”
“รู้แล้วค่ะคุณพ่อ คุณพ่อกลับมาเร็วๆหน่อยนะ” โจวรั่วหนานวางสายโทรศัพท์ สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา จากนั้นลงจากรถแล้วกดกริ่งประตู
หลี่ผู่เปิดประตูออก เมื่อเห็นเป็นโจวรั่วหนานจึงถามขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”
โจวรั่วหนานก็ไม่พูดไม่จาเช่นกัน เพียงแต่ขนสิ่งของเหล่านั้นลงมา วางอยู่ตรงหน้าหลี่ผู่แล้วจึงพูดว่า “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เท่าทันความคิดของแก ขอให้แกระวังตัวมากหน่อยเถอะ จะมีคนมาจัดการแกเอง”
หลี่ผู่ตะลึงงันวูบ แต่แล้วก็ยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ได้เลย ผมคอยรออยู่ทุกเมื่อ”
“ฮึ” โจวรั่วหนานไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเขาอีก หันหลังกลับก็ขึ้นรถขับจากไป
อยู่บนรถโจวรั่วหนานรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างมาก
เธอพบว่าคุณปู่เหมือนคนแก่ธรรมดาทั่วไปเหล่านั้นมากเกินไปแล้ว เพื่อการมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงกับเริ่มเชื่อทุกอย่างจนหมดสิ้น แบบนี้มีอะไรแตกต่างจากคนแก่ที่ถูกหลอกลวงและซื้อยาปลอมเหล่านั้นล่ะ?
บ้านตัวเองมีแพทย์ส่วนตัวดูแลสุขภาพอยู่แล้ว ยังมีทีมคณะแพทย์จากเมืองหลวงที่คอยดูแลผู้นำระดับสูงโดยเฉพาะอีกด้วย จะไปเชื่อถือเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ช่างเป็นคนแก่ที่เลอะเลือนไปแล้วจริงๆ
กลับมาถึงตรงประตูบ้าน โจวรั่วหนานยังมิทันลงจากรถด้วยซ้ำ รถคันหนึ่งก็ขับมาหยุดลงตรงหน้า
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวลงมาแล้ว เมื่อโจวรั่วหนานเห็นก็รีบลงจากรถเข้าไปต้อนรับแล้ว
“คุณหมอจ้าว คุณจึงได้ยังไงคะ?” โจวรั่วหนานกล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น
เมื่อหมอจ้าวเห็นก็ยิ้มพูดว่า “รั่วหนานเอย ช่างประจวบเหมาะจริงๆ”
พูดพลางก็ยื่นยากล่องหนึ่งให้โจวรั่วหนานกล่าวว่า “นี่คือยาสารชีวภาพเพิ่งพัฒนาขึ้นมาโดยทีมคณะแพทย์ของเมืองหลวง สามารถชะลอความแก่เฒ่าชรา เสริมสร้างพลังภูมิคุ้มกัน ประสิทธิภาพดีอย่างยิ่ง เพิ่งจะส่งมาถึงสถาบันวิจัยของพวกเรานี่เอง เธอรีบให้ท่านโจวกินยานี้ครับ”
“จริงหรือ?” โจวรั่วหนานรับเอาไว้ด้วยสีหน้าอันยินดีปรีดา
หมอจ้าวยิ้มพลางพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ผมไม่รบกวนท่านโจวแล้วล่ะ สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ” โจวรั่วหนานส่งหมอจ้าวจากไป กลับเข้าไปในบ้านอย่างตื่นเต้นยินดีมีความสุขยิ่งนัก และมาถึงห้องของคุณปู่
“คุณปู่คะ นี่คือยาตัวใหม่ที่เมืองหลวงเพิ่งพัฒนาสำเร็จออกมา คุณปู่รีบทานเถอะ คุณหมอจ้าวตั้งใจส่งมาโดยเฉพาะเลยนะ”
เมื่อโจวอู่ฉู้ได้เห็นก็พูดเสียงเรียบๆ ว่า “วางไว้ตรงนั้นเถอะ”
“ไม่นะ หนูจะมองดูคุณทานลงไป” โจวรั่วหนานพูดขึ้น
โจวอู่ฉู้พูดอย่างขุ่นข้องรำคาญว่า “ฉันจะทานเองน่ะ ออกไปเถอะ”
โจวรั่วหนานเบะปาก แต่ยังคงออกไปแล้วอย่างเชื่อฟัง
โจวอู่ฉู้หยิบยาขึ้นมาดูคราหนึ่ง แล้วก็โยนมันลงในตู้วางรองเท้าโดยตรง ส่ายหน้าพูดว่า “ทั้งวันเอาแต่กินยา ฉันกำลังจะตายเพราะกินยาแล้วนี่”
พูดจบเขาก็เริ่มนั่งสมาธิ ค่อยๆ ลมหายใจเข้าออกขึ้นมา
แต่อีกด้านหนึ่ง
หลี่ผู่ขนสิ่งของเหล่านั้นเข้าบ้านอย่างตื่นเต้นยินดีมีความสุขยิ่งนัก และพลิกดูขึ้นมาแล้ว
ของดีนะเนี่ย ทั้งหมดล้วนเป็นสินค้าพิเศษทั้งสิ้น ที่มีเงินก็หาซื้อไม่ได้จากข้างนอกประเภทนั้น
หลี่ผู่ยิ้มน้อยๆ คราหนึ่งพูดว่า “ท่านโจว งั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้วล่ะ”
วางสิ่งของลงแล้วหลี่ผู่ก็เริ่มฝึกฌานนั่งสมาธิ จวบจนถึงตอนเย็นย่ำสนธยา เขาจึงอ้าปากคายริ้วสีขาวแดงออกมาสายหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้ว
ยามนี้เองโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น หลี่ผู่มองดูแล้วคราหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจอย่างลึกซึ้ง หลังจากนั้นรับสายขึ้นมาแล้วพูดว่า “คุณหนูหลิ่ว มีธุระอะไรมั้ยครับ?”
“หลี่ผู่ มีข่าวดีเรื่องหนึ่งจะบอกแก แกอย่าได้ตื่นเต้นอย่างเด็ดขาดนะ” เสียงร่าเริงของหลิ่วเสี่ยวอวี่ดังมาจากสายโทรศัพท์อีกด้านหนึ่ง