ราชันย์ผู้ชนะ หลังหย่าอยู่กินกับ ซีอีโอสาวสวย...

377.0K · ยังไม่จบ
-
171
บท
126.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ราชันย์ผู้ชนะแห่งยุทธภพกลับมาสู่ความสงบ กลับถูกภรรยาไล่ออกจากบ้านเพราะรังเกียจที่เขาจน ภายใต้ความโกรธเขาเผยตัวตนที่แท้จริง ซีอีโอสาวสวยนับไม่ถ้วนรุมล้อมเข้าหาเขา ร้องโวยอยากอยู่กินกับเขา ทำเอาภรรยางงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว!

นิยายปัจจุบันราชันย์รบแต่งงานสายฟ้าแลบประธาน

บทที่ 1 การทรยศ

  

“หลี่ผู่  ทำไมเจ้าต้องข่มขืนเสี่ยวอวี่ด้วย?”    

  

เมื่อหลี่ผู่เผชิญหน้ากับคำถามของคนตระกูลหลิ่ว  เขาตอบเสียงเรียบๆ ว่า  “เสี่ยวอวี่ดื่มเหล้าจนเมาแอ๋กลับมากลางดึก  เสื้อผ้าก็ไม่เรียบร้อย  ฉันเพียงแค่ประคองเธอขึ้นไปพักผ่อนบนเตียง  พวกคุณกลับหาว่าฉันข่มขืนเธอ  อีกอย่างจะว่าไปแล้วเธอก็เป็นภรรยาของฉัน  จะพูดว่าเป็นการข่มขืนได้อย่างไร?”      

  

“ต่อให้เป็นสามีภรรยากัน  การใช้กำลังความรุนแรง  ก็ถือว่าเป็นการข่มขืนเช่นกัน”  หลิ่วเจี้ยนกั๋วตวาดใส่หลี่ผู่อย่างโกรธเคือง     

  

หวังหลันก็กล่าวด้วยเช่นกัน  “ใช่แล้วล่ะ  นั่นก็คือวันนี้พวกคุณจะต้องหย่าร้างกัน  เจ้าจงหย่าขาดจากไปโดยไร้ทรัพย์สินใดๆ”     

  

หลี่ผู่ขมวดคิ้ว  พายุโหมพัดกระหน่ำก่อตัวระลอกหนึ่ง     

  

ยามนี้เองน้องเล็กหลิ่วเสี่ยวหลานกล่าวขึ้นว่า  “คุณพ่อคุณแม่  พวกคุณกำลังทำอะไรคะ  ถ้าหากตอนนั้นไม่ใช่พี่ผู่มอบเงินทองแก่พวกเราจำนวนห้าสิบล้าน  พวกเราจะสามารถเปลี่ยนจากครอบครัวธรรมดา  กลายเป็นตระกูลซึ่งปัจจุบันมีซูเปอร์มาร์เก็ตมากกว่าสิบแห่ง  และมีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านได้หรือ  พวกคุณล้วนลืมสิ่งที่พี่ผู่จ่ายออกมาจนหมดสิ้นแล้วหรือ?”      

  

“เธอจงหุบปากไปเลย”  หลิ่วเสี่ยวอวี่ภรรยาของหลี่ผู่ตวาด  “ใช่เขาได้มอบเงินทองแก่พวกเราจำนวนห้าสิบล้านจริง  แต่ตลอดเวลาสามปีมานี้  เขาเอาแต่อยู่ว่างๆ ตลอดทั้งวันไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น  ทรัพย์สินมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านของตระกูลหลิ่ว  ยังไม่ใช่มาจากการทำงานหนักของพวกเราเองหรอกหรือ  มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วยล่ะ”          

  

หลิ่วเสี่ยวหลานกำลังจะโต้แย้ง  พ่อแม่ก็พูดขึ้นอีกว่า  “เสี่ยวหลานเธอไม่ต้องพูดแล้ว  การแต่งงานครั้งนี้พวกเขาต้องหย่าร้างอย่างแน่นอน”     

  

หลิ่วเสี่ยวหลานกัดฟันกรอด  สุดท้ายยังคงทอดถอนใจแล้วคำหนึ่ง     

  

หลี่ผู่ส่ายๆ หน้า  ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา  นอกจากหลิ่วเสี่ยวหลานแล้วคนอื่นๆ สมาชิกอื่นๆภายในตระกูลหลิ่วต่างล้วนทำให้ตนรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง     

  

“ผมจะขบคิดไตร่ตรองดู”  หลี่ผู่กล่าวคำพูดนี้ทิ้งท้ายเสร็จก็กลับเข้าห้องตัวเองไปแล้ว       

  

หลี่ผู่ถอดเสื้อผ้าออกหมดสิ้นเข้าห้องน้ำ  เผยให้เห็นเศียรมังกรแดงดุร้ายเกรี้ยวกราดหัวหนึ่งตรงด้านหลัง  ครอบครองพื้นที่ตลอดทั่วทั้งแผ่นหลังไปแล้ว    

  

นี่ไม่ใช่รอยสัก  แต่เป็นเครื่องหมายจารึกที่ติดตัวเขามาตั้งแต่แรกเกิดแล้ว  และเขาก็ได้รับพลังลึกลับจากเครื่องหมายจารึกนี้แล้วเช่นกัน    

  

และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  ฉายานามของเขาคือหลี่เทียนชื่อ  เขาเข่นฆ่าสังหารอย่างนองเลือดอยู่ในต่างประเทศ  ก่อตั้งกองทหารรับจ้างเหวลึกชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาแล้วในต่างแดน     

  

หลายปีต่อมาเขาเบื่อหน่ายการเข่นฆ่าสังหารแล้ว  และสะสมทรัพย์สมบัติมากเพียงพอแล้วเช่นกัน  ก็เลยสลายกองทหารรับจ้างไป  เหลือเพียงขุนพลคู่บารมีเพียงไม่กี่นายเท่านั้น  แล้วใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก่อตั้งกลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่ขึ้นมา  จ้างคณะทีมงานเก่งที่สุดของวอลสตรีตมาบริหารดำเนินงานลงทุนทั่วโลก  ไม่นานก็กลายเป็นกลุ่มสถาบันการเงินระดับแนวหน้าของโลก     

  

และจากนั้นตัวเขาเองก็หวนกลับคืนซีจิง  กลับมาใช้ชื่อเดิมหลี่ผู่  ตัดสินใจแต่งงานกับหลิ่วเสี่ยวอวี่คู่หมั้นของตน  เตรียมลงหลักปักฐานผ่านวิถีชีวิตชนบทเรียบง่ายใกล้ชิดธรรมชาติอันแสนสุข     

  

ตอนเริ่มแรกตระกูลหลิ่วได้รับเงินห้าสิบล้านของตนนั้น  ช่างรู้สึกปิติยินดียิ่งนักจริงๆ ปานคลุ้มคลั่ง  ปฏิบัติต่อเหมือนเช่นแขกผู้มีเกียรติเลยทีเดียว    

  

แต่พร้อมกับเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป  ความมั่งคั่งของตระกูลหลิ่วค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้น  ทัศนคติที่มีต่อเขาก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน  ตอนนี้ถึงกับให้เขาหย่าขาดจากไปโดยไร้ทรัพย์สินใดๆ แล้วด้วยซ้ำ     

  

อาบน้ำเย็นไปพลาง  สีหน้าของหลี่ผู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบทะมึน     

  

ไม่ใช่เขาไม่สามารถไปจากตระกูลหลิ่ว  แต่เป็นเพราะคุณปู่ของหลิ่วเสี่ยวอวี่มีบุญคุณต่อคุณปู่ของตน    

  

ก่อนคุณปู่จะเสียชีวิต  คำสั่งเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือให้เขาแต่งเข้าตระกูลหลิ่ว  เพื่อตอบแทนบุญคุณในตอนนั้น  นี่ก็คือการแต่งงานที่บรรพบุรุษสองตระกูลกำหนดขึ้นแต่แรกเนิ่นนานแล้วนั่นเอง      

  

เขาได้ทำตามคำสั่งเสียแล้ว  ทว่าเวลานี้ตระกูลหลิ่วรังเกียจเขาแล้ว     

  

แล้วกันไปเถอะ  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตนจากไปก็แล้วกัน  ทำไมจะต้องมาขุ่นข้องรำคาญเช่นนี้ด้วยเล่า  จากนี้ไปลืมทุกอย่างดำรงอยู่เหนือโลกียวิสัย  มุ่งมั่นตั้งใจฝึกฌานบำเพ็ญเพียร  ไยไม่ใช่ประเสริฐมากยิ่งกว่า     

  

หลังจากขบคิดกระจ่างแล้ว  หลี่ผู่ก็ออกมาจากห้องน้ำ  เขากำลังจะสวมเสื้อผ้านั่นเอง  ก็เห็นประตูห้องถูกผลักเปิดออก  หลิ่วเสี่ยวหลานได้เข้ามาแล้ว      

  

“อา  พี่ทำอะไร  รีบสวมเสื้อผ้าเร็ว”  หลิ่วเสี่ยวหลานอุทานตกใจคำหนึ่ง  แล้วรีบปิดประตูห้องลงทันที      

  

หลี่ผู่สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเร่งรีบด้วยใบหน้าแดงก่ำ  ถูกหลิ่วเสี่ยวหลานเห็นจนหมดสิ้นแล้ว  นี่ก็รู้สึกช่างน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนักแล้วเช่นกัน       

  

“ฉันสวมเรียบร้อยแล้วล่ะ  เธอสามารถเข้ามาได้แล้ว”  หลี่ผู่พยายามรักษาน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด     

  

หลิ่วเสี่ยวหลานค่อยๆ ผลักประตูเปิดออกเป็นช่อง  เมื่อแน่ใจว่าหลี่ผู่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินเข้ามา        

  

ทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟา  หลิ่วเสี่ยวหลานสีหน้าแดงระเรื่ออยู่บ้าง  เธอกลับได้แต่พูดว่า  “พี่ผู่  ฉันรู้ว่าพี่คับแค้นใจอย่างยิ่ง  แต่พี่วางใจได้  ฉันจะไม่ให้พวกคุณอย่าร้างกันหรอกจ๊ะ  ตอนแรกเริ่มถ้าหากไม่มีพี่  ก็จะไม่มีตระกูลหลิ่วอย่างในวันนี้  การเป็นคนต้องมิอาจลืมกำพืดรากเหง้าหรอกนะ”      

  

“เด็กโง่  เรื่องราวในโลกไม่จำเป็นต้องไปแข็งขืนบังคับ  เรื่องนี้เธออย่าได้ยุ่งเกี่ยวแล้ว” 

  

ตลอดทั่วทั้งตระกูลหลิ่ว  ก็มีเพียงหลิ่วเสี่ยวหลานเท่านั้นที่สามารถทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นอยู่บ้าง  และก็มีเพียงเธอเช่นกันที่ยังคงรักษาความใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเอาไว้  ซึ่งช่างหาได้ยากจริงๆ       

  

หลิ่วเสี่ยวหลานกลับกล่าวว่า  “ฉันจะต้องยุ่งเกี่ยวอย่างแน่นอน  พี่ไม่ต้องสนใจพวกเขา  ขอเพียงนายไม่เห็นพ้อง  พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้นายหย่าร้างได้อยู่แล้ว  พี่เชื่อฟังฉันสิ”     

  

“เอาล่ะ  ฉันรู้แล้ว”  หลี่ผู่ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า  “รีบไปทำงานเถอะ”         

  

หลิ่วเสี่ยวหลานมองนาฬิกาแล้วพูดว่า  “ฉันไปแล้วพี่ผู่  จงจำคำพูดของฉันเอาไว้นะ”     

  

เมื่อหลี่ผู่พยักๆ หน้าแล้ว  หลิ่วเสี่ยวหลานจึงได้ลุกขึ้นจากไป       

  

หลี่ผู่ผุดรอยยิ้มมีเสน่ห์คราหนึ่ง  สูบบุหรี่มวนหนึ่งแล้วหลังจากนั้นจึงลุกขึ้นลงไปชั้นล่าง      

  

เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นก็เห็นหลิ่วเสี่ยวอวี่  ยังมีหลิ่วเจี้ยนกั๋วกับหวังหลันล้วนอยู่กันพร้อมหน้า    

  

“วันนี้พวกคุณไม่ไปทำงานกันหรือ?”  หลี่ผู่ถามขึ้น     

  

ตอนนี้ตระกูลหลิ่วเป็นครอบครัวใหญ่พร้อมกับธุรกิจขนาดใหญ่  ทุกคนต่างล้วนมีงานยุ่งอย่างยิ่ง  วันนี้กลับเกิดอะไรขึ้นแล้วนะ      

  

หลิ่วเสี่ยวอวี่ยิ้มอย่างเย็นชาคราหนึ่งพูดว่า  “วันนี้มีแขกมาเยือนถึงบ้าน  พวกเรากำลังเตรียมพร้อมต้อนรับน่ะ”    

  

หลี่ผู่มองดูคนรับใช้หลายคนที่กำลังยุ่งคราหนึ่ง  เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วกำลังจะพูดนั่นเอง  ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ก็ถูกผลักเปิดออกแล้ว       

  

“โอ๊ยโหย๋  ประธานหวังมาแล้ว  รีบเชิญนั่งก่อน”  หลิ่วเจี้ยนกั๋วและหวังหลันเข้าไปต้อนรับด้วยน้ำใจไมตรีอันอบอุ่น  เชื้อเชิญประธานหวังคุณนี้มานั่งลงบนโซฟา         

  

หลิ่วเสี่ยวอวี่ก็หน้าชื่นตาบานเช่นกัน  นั่งลงตรงข้างๆ ประธานหวังอย่างจิตใจกว้างขวาง  สอบถามความเป็นอยู่สารทุกข์สุกดิบ      

  

หลี่ผู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย  เขานั่งลงและสูบบุหรี่อยู่ด้านข้าง

  

ทั้งสี่คนพูดคุยกันพร้อมกับเสียงหัวเราะ  ละเลยการดำรงอยู่ของหลี่ผู่ไปแล้วโดยสิ้นเชิง  หลี่ผู่เองก็นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงเช่นกัน  ต้องการลองดูว่าพวกเขาจะมาไม้ไหน         

  

ทั้งสี่คนสนทนากันแล้วสักพัก  พลันประธานหวังเหลียวหน้าหันมาอย่างกะทันหัน  ถามหลี่ผู่ขึ้นว่า  “คุณนี้ก็คือหลี่ผู่คุณหลี่กระมัง?”     

  

หลี่ผู่ยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง  ในที่สุดก็พุ่งเป้ามาถึงตนแล้ว  “ใช่แล้วล่ะ  ขอเรียนถามคุณคือ?”     

  

“ผมคือ หวังซื่อเจี๋ย ประธานเหิงไท่ กรุ๊ป”  หวังซื่อเจี๋ยพูดอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส    

  

หลี่ผู่พยักๆ หน้ากล่าวเสียงราบเรียบว่า  “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”      

  

“ได้ยินมาว่าคุณกับเสี่ยวอวี่แต่งงานกันมาสามปีแล้ว  เธอยังคงรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้  ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะเนี่ย?”  หวังซื่อเจี๋ยเอ่ยปากอย่างอุกอาจมิคำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น        

  

หลี่ผู่พยักๆ หน้าแล้วพูดว่า  “เป็นความจริง”     

  

ในตอนนั้นเขาฝึกฌานบำเพ็ญเพียรถึงช่วงสำคัญแล้ว  จำเป็นต้องรักษาชี่บริสุทธิ์ฟ้ากำหนดเอาไว้  ดังนั้นจึงมิได้ร่วมห้องหอกับหลิ่วเสี่ยวอวี่        

  

ต่อมาภายหลังเขาสามารถก้าวข้ามผ่านด่านนี้ไปแล้ว  แต่หลิ่วเสี่ยวอวี่กลับเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่มีต่อเขาแล้ว  เขาก็ไม่ได้แข็งขืนบังคับเช่นกัน  ดังนั้นจวบจนถึงปัจจุบัน  พวกเขายังคงเป็นเพียงสามีภรรยากันในนามเท่านั้น    

  

เมื่อได้ยินคำพูดนี้  หวังซื่อเจี๋ยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่นขึ้นมา  เขากล่าวว่า  “เมื่อคืนเสี่ยวอวี่พูดขึ้นมากับผม  ผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก  ตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นความจริงแล้วล่ะ  หญิงสาวที่งดงามมากถึงขนาดนี้ผู้หนึ่ง  คุณก็ยังสามารถอดทนได้  เป็นเพราะร่างกายส่วนไหนใช้การไม่ได้หรือเปล่านะ?”       

  

เมื่อเห็นลักษณะท่าทางหยิ่งผยองของหวังซื่อเจี๋ย  หลี่ผู่แอบลอบเย้ยหยันภายในใจ  เขาเพียงแค่กล่าวเรียบๆ ว่า  “เมื่อคืนพวกคุณเพียงแค่ดื่มเหล้ากันรอบหนึ่ง  เสี่ยวอวี่ก็เล่าทุกอย่างให้คุณฟังจนหมดสิ้นแล้วหรือ?”     

  

“มิผิด  พวกเราจับเข่าคุยกันเนิ่นนานจนถึงกลางดึก  ช่างมีความรู้สึกน่าจะพบกันเร็วอีกหน่อยจริงๆ นะ  น่าเสียดายนัก  คนดีๆ งามพร้อมถึงขนาดนี้  กลับมาพบกับคุณที่เป็นบุรุษนกเขาไม่ขันผู้หนึ่ง  ชะตาชีวิตช่างอาภัพมากจริงๆ เลยนะเนี่ย”  หวังซื่อเจี๋ยพูดพลางส่ายหน้าจนหัวสั่นหัวคลอน        

  

หลี่ผู่ยิ้มอย่างเย็นชาคราหนึ่งพูดว่า  “ดูเหมือนว่าพวกคุณได้วางแผนไว้แล้ว  เพียงแค่รอให้ฉันจากไปเท่านั้นละสิ?”      

  

“พูดตามความจริง”  หวังซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า  “เหิงไท่ กรุ๊ปของฉันมีมูลค่าผลผลิตหลายพันล้าน  ล่าสุดได้บรรลุข้อตกลงร่วมมือกับกลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่อีกด้วย  พวกเขาเห็นด้วยที่จะลงทุนห้าพันล้านกับฉัน  เหิงไท่ กรุ๊ปของฉันกำลังจะรุดหน้าเพิ่มขึ้นอีกก้าวหนึ่ง  เสี่ยวอวี่มีแต่เพียงติดตามฉันเท่านั้น  จึงสามารถมีวาสนาความสุข  คุณสามารถให้อะไรเขาได้เล่า?”          

  

“กลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่มาถึงซีจิงแล้วหรือ?”  หลี่ผู่กล่าวอย่างประหลาดใจ    

  

สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มสถาบันการเงิน  เขาไม่เคยก้าวก่ายสอบถามตลอดมา  คิดไม่ถึงว่าถึงกับพัฒนามาถึงในประเทศแล้ว