บทที่ 2 ประธานสาวงาม
เมื่อหวังซื่อเจี๋ยได้ยิน เขาส่ายหน้าพลางพูดว่า “คุณเนี่ยนะ ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ เลยนะ กลุ่มสถาบันการเงินระดับโลกอย่างเช่นคัยผู่นี้ ไปถึงสถานที่ใดล้วนเป็นข่าวใหญ่มีผลกระทบสำคัญ ขนาดเรื่องนี้คุณก็ยังไม่รู้อีก คุณช่างเป็นเศษสวะใช้ได้เลยทีเดียวล่ะ”
“เขาก็คือสวะไร้ค่าขี้ขลาดตาขาวผู้หนึ่ง คุณพูดเรื่องเหล่านี้กับเขามีประโยชน์อะไร” หวังหลันเหลือบทองหลี่ผู่อย่างดูแคลนคราหนึ่งแล้วพูดขึ้น
หลิ่วเจี้ยนกั๋วกล่าวด้วยสายตาโกรธเคืองว่า “แกนอกจากกินข้าวนอนหลับแล้ว ยังรู้จักอะไรอีกบ้าง อย่าได้อยู่ให้ขายหน้าผู้อื่นอยู่ในที่นี้แล้ว”
หลี่ผู่ก็ยังรู้สึกโกรธเคืองจนหัวเราะแล้ว ถ้าหากพวกเขาล่วงรู้ศักดิ์ฐานะแท้จริงของตนแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าท่าทางลักษณะยังไงอีก
โชคดีเช่นกันที่ตอนนั้นตนปิดบังศักดิ์ฐานะไว้แล้ว มิฉะนั้นแล้วยังมิอาจเห็นด้านมืดภายในจิตใจคนเหล่านี้ได้กระจ่างจริงๆ
ยามนี้เองคนรับใช้หลายคนเริ่มยกอาหารเลิศหรูแปลกพิสดารราคาแพง ทยอยจัดวางบนโต๊ะอาหารแล้ว
ครู่เดียวต่อมาหลิ่วเจี้ยนกั๋วก็เชิญชวนขึ้นว่า “ประธานหวัง ทานข้าวด้วยกันเถอะ”
“ก็ดีเหมือนกัน” หวังซื่อเจี๋ยลุกขึ้นช้าๆ โดยมีหลิ่วเสี่ยวอวี่กอดแขนของเขาอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ทั้งสี่คนมาถึงโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงพร้อมกัน
หลี่ผู่ดูเวลาคราหนึ่งแล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “เพิ่งจะสิบโมงเท่านั้น ทานมื้อเที่ยงไม่เร็วไปหน่อยอยู่บ้างหรือ?”
“แกรู้เรื่องผายลมอันใด คุณชายหวังเป็นแขกผู้มีเกียรติ ซึ่งพวกเราต้องให้การต้อนรับอย่างดีที่สุด” หลิ่วเจี้ยนกั๋วดุด่าตำหนิใส่
หวังหลันก็พูดด้วยสีหน้าเหยียดหยามเช่นกันว่า “ตรงนี้ไม่มีส่วนของแกจะนั่งโต๊ะด้วย ถ้าหากต้องการกินก็ไปหาเอาเองในห้องครัวเถอะ”
หลิ่วเสี่ยวอวี่ก็ไม่คำนึงถึงจิตใจศักดิ์ศรีของหลี่ผู่เช่นกัน ใกล้ชิดสนทสนมกับหวังซื่อเจี๋ย จนแทบกอดเข้าด้วยกันแล้ว
หลี่ผู่เย้ยหยันภายในใจไม่หยุด เห็นได้ชัดว่านี่เพราะต้องการทำให้ตนอับอายขายหน้า ทำให้เขามิอาจทนต่อความอัปยศอดสู เอ่ยปากเรื่องการหย่าร้างออกมาเอง เพื่อสามารถทำให้ตนหย่าขาดจากไปโดยไร้ทรัพย์สินใดๆ นั่นเอง
เดิมเขาคิดจะหย่าขาดจากไปโดยไร้ทรัพย์สินใดๆ อยู่แล้ว แต่เวลานี้เขาได้เปลี่ยนความคิดแล้ว
อย่างไรก็ตามเขายังคิดทดสอบเป็นครั้งสุดท้าย จึงกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ผมเข้าใจพวกคุณแล้ว เอาอย่างนี้เถอะ คืนเงินห้าสิบล้านที่ผมมอบให้พวกคุณตอนนั้นแก่ผม ผมก็จะหย่าร้างทันที เป็นไง?”
“พูดล้อเล่นอะไรกัน” เมื่อหวังหลันได้ยินเข้าก็โกรธเคืองทันใด เอะอะโวยวายขึ้นว่า “แกมาอยู่ในตระกูลหลิ่วพวกเราถึงสามปี กินดื่มขับถ่ายและนอนไม่ต้องใช้เงินหรือ ลูกสาวฉันถูกแกก่อกวนจนต้องแต่งงานครั้งที่สอง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือ ไม่เรียกร้องเอาเงินทองจากแกก็ดีแค่ไหนแล้ว ยังกล้าเอ่ยเรื่องต้องการเงินกับพวกเราอีกหรอ ?”
หลิ่วเจี้ยนกั๋วก็แค่นเสียงเย็นชาเช่นกันกล่าวว่า “ตระกูลหลิ่วพวกเราปฏิบัติต่อแกเป็นอย่างดี ด้วยเมตตาธรรมท่วมท้นเปี่ยมคุณธรรมสูงสุดแล้ว แกอย่าได้ไม่รู้จักดีชั่วอีกล่ะ”
“หลี่ผู่ การเป็นคนต้องรู้จักประมาณตนเข้าใจกระจ่าง ฉันกับประธานหวังจึงเป็นเนื้อคู่ที่เหมาะสม หรือว่าต้องการให้พวกเราทั้งคู่แสดงตัวเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ต่อหน้าเจ้าสักครา เจ้าจึงจะตัดใจได้?” หลิ่วเสี่ยวอวี่พูดขึ้นอย่างหน้าด้านหน้าทน
หลี่ผู่รู้สึกผิดหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว
โลกนี้สิ่งที่ไม่อาจมองกระจ่างโดยตรงได้ หนึ่งก็คือดวงอาทิตย์ อีกอย่างหนึ่งก็คือจิตใจคนช่างยากแท้หยั่งถึงแล้ว
ความผิดหวังโดยสิ้นเชิง ก็ทำให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจอย่างสิ้นเชิงแล้วเช่นกัน
ตอนนี้เขาไม่รีบร้อนหย่าร้างแล้ว เขาต้องการสร้างอาณาจักรธุรกิจของตัวเองขึ้นในประเทศต้าเซี่ย เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วช่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ ความสำคัญหลักคือเขาต้องการดูว่า สุดท้ายตระกูลหลิ่วจะมีลักษณะท่าทีการแสดงออกยังไง ประธานหวังคุณนี้จะมีสีหน้าท่าทางลักษณะยังไงอีก
“พวกคุณค่อยๆ ทาน ฉันไปพักผ่อนแล้วล่ะ” หลี่ผู่พูดจบก็หันร่างขึ้นไปชั้นบนแล้ว
หลิ่วเสี่ยวอวี่พูดว่า “ประธานหวัง ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก พวกเราทานข้าวกันเถอะ” พูดพลางเธอก็คีบกับข้าวส่งถึงริมปากหวังซื่อเจี๋ยแล้ว
หลี่ผู่กลับถึงห้องนอนของตน เขาแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่งแล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรศัพท์ออกไป
ครู่เดียวต่อมาโทรศัพท์มีคนรับสายแล้ว แว่วเสียงสดใสของหญิงสาวเสียงหนึ่งดังมาจากในนั้น
“เจ้านาย ในที่สุดคุณก็นึกถึงพวกเราขึ้นมาแล้ว”
เธอผู้นี้คือฉินหลานอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ซึ่งเป็นแฮกเกอร์อัจฉริยะ นักสอดแนมฝีมือดีระดับสุดยอดผู้หนึ่ง ปัจจุบันเป็นหนึ่งในยอดขุนพล ที่ประจำการอยู่สำนักงานใหญ่กลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่ในต่างประเทศ
“ฉินหลาน คนคัยผู่มาถึงซีจิงแล้วหรือ?” หลี่ผู่ถามขึ้นอย่างรวบรัดทันที
“ใช่แล้วล่ะ คนกลุ่มนั้นเป็นผู้ตัดสินใจ คุณเคยกำชับพวกเราว่า พวกเรารับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยเท่านั้น ไม่ก้าวก่ายการบริหารดำเนินงาน”
“ดีมาก บอกที่อยู่ให้ฉันรู้หน่อย และแจ้งผู้รับผิดชอบอีกครั้ง ฉันจะรุดไปสนทนากับเธอทันที ให้เธอรอคอยฉัน”
“ค่ะ เจ้านาย ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณทันที พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้รับผิดชอบทราบ”
หลี่ผู่วางสายโทรศัพท์ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็มุ่งหน้าไปข้างนอก
ตอนที่เดินผ่านห้องนั่งเล่นนั้น หลิ่วเสี่ยวอวี่ถามว่า “แกออกไปทำอะไร?”
“จัดการเรื่องราวเล็กน้อย” หลี่ผู่พูดเสียงเรียบๆ
หลิ่วเสี่ยวอวี่หัวเราะหึหึคราหนึ่ง “แกยังมีเรื่องต้องจัดการด้วย ช่างตลกจริงๆ รีบเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าไสหัวออกไปดีกว่า”
หลี่ผู่ผุดรอยยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด หวังซื่อเจี๋ยและตระกูลหลิ่วจะต้องชดเชยกับการเหยียดหยามตนให้ต้องอัปยศอดสูเช่นนี้ ก็ปล่อยให้พวกเขาลำพองอีกสักพักจะเป็นไรไป
ไม่มีพูดอะไรต่ออีก หลี่ผู่ก้าวเท้าใหญ่ๆ ออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วแล้ว
……
ณ สำนักงานใหญ่กลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่ ในเมืองซีจิงแห่งมณฑลฉิน
ภายในสำนักงานที่อยู่ชั้นบนสุด ประธานหลานเยว่ผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นสุข
เธอเพิ่งได้รับแจ้งจากสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศว่า เจ้าของที่แท้จริงของคัยผู่ ต้องการรุดมาสนทนากับเธอ
จวบจนถึงวันนี้เธอก็เพิ่งจะรู้เช่นกันว่า กลุ่มสถาบันการเงินซึ่งใหญ่โตมโหฬารทรัพย์สินมากมหาศาลถึงเพียงนี้ จนความร่ำรวยมั่งคั่งนั้นสามารถทัดเทียมประเทศได้ เจ้าของที่แท้จริงกลับอยู่ในเมืองซีจิง และยังต้องการรุดมาสนทนากับเธออีกด้วย
เธอก็จบปริญญาเอกด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของต่างประเทศเช่นกัน ถือได้ว่ามากประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง
แต่เมื่อนึกถึงต้องพบหน้ากับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ภายในใจยังคงเต้นโครมครามมิสิ้นสุดอยู่ดี เพราะนี่คือบอสยิ่งใหญ่ระดับโลกเลยทีเดียวนะ
หลังจากรับโทรศัพท์แล้ว อันดับแรกเธอก็แจ้งให้แผนกต้อนรับทราบทันที อีกทั้งตรวจสอบเสื้อผ้าของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากแน่ใจไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว จึงรอคอยอย่างอดทนแต่จิตใจไม่สงบนัก
และในเวลาเดียวกัน หลี่ผู่หลังจากไต่ถามแผนกต้อนรับแล้ว ก็ขึ้นลิฟต์มาถึงหน้าประตูห้องทำงานของหลานเยว่แล้วเช่นกัน
เลขาตรงประตูลุกขึ้นยืนสอบถามทันที หลังจากรู้ว่าเป็นหลี่ผู่แล้ว ก็รีบเชิญเขาเข้าไปในสำนักงานทันใด
เมื่อหลานเยว่เห็นมีคนเข้ามา เธอก็รีบลุกขึ้นยืน แต่แล้วสีหน้ากลับเต็มเปี่ยมด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ อายุเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้น เขามีใบหน้าหล่อเหลาดูดี
แต่เขาไม่ใช่เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังคัยผู่อย่างเด็ดขาด ไม่มีคนหนุ่มอายุน้อยเยาว์วัยมากเพียงนี้ผู้หนึ่ง แต่กลับมีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้
“คุณคือ……?” หลานเยว่ไต่ถามอย่างระมัดระวังคราหนึ่ง
“ฉันชื่อหลี่ผู่” พูดพลางหลี่ผู่ก็นั่งลงบนโซฟาแล้วอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยนิด
หัวใจของหลานเยว่สะท้านดุจดั่งอสนีบาตสายฟ้า ใช่เขาจริงๆ ด้วย แต่นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
เธอสะกดความตื่นตระหนกในใจลง เสิร์ฟน้ำชาให้ด้วยตัวเองแล้วยืนอยู่ข้างๆ โค้งคำนับทักทายว่า “สวัสดีเจ้านาย”
หลี่ผู่พิจารณามองดูหลานเยว่ขึ้นลง นี่คือสาวงามเฉลียวฉลาดเข้มแข็งอดทนวัยประมาณสามสิบปีผู้หนึ่ง ดูมีความเป็นทะมัดทะแมงและมีความสามารถ เสื้อผ้าเครื่องแบบทั้งตัวเผยให้เห็นถึงเสน่ห์เย้ายวนใจอันรุนแรงของหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
สายตาของหลี่ผู่ ทำให้หลานเยว่รู้สึกใจเต้นโครมครามมิสิ้นสุด ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยนิด
แต่ไม่ช้าหลี่ผู่ก็ละสายตาออกแล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าต้องการอัดฉีดเงินลงทุนให้เหิงไท่ กรุ๊ปหรือ?”
หลานเยว่ทบทวนความทรงจำอย่างรวดเร็วที่สุดคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ เจ้านาย”
“ดีมาก ตอนนี้ฉันมีข้อเรียกร้องอย่างหนึ่ง ภายในหนึ่งสัปดาห์ทำให้เหิงไท่ กรุ๊ปเป็นเพียงหุ่นเชิด กลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่เข้าควบคุมเหิงไท่ กรุ๊ปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สามารถทำได้หรือไม่?”
สีหน้าหลานเยว่แสดงความลำบากใจ การควบคุมเหิงไท่ กรุ๊ปนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย การเพิ่มทุนของพวกเขาเพียงพอจะยึดครองถือหุ้นส่วนใหญ่ แต่เวลาภายในหนึ่งสัปดาห์นั้นช่างกระชั้นชิดนัก จึงรู้สึกกังวลอยู่บ้างจริงๆ
ทว่าหลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พูดทันทีว่า “ได้เลย เจ้านาย รับประกันว่าจะทำให้สำเร็จแน่นอนค่ะ”
การพบหน้าสนทนากันครั้งแรก ถ้าหากตนทำให้เจ้านายต้องผิดหวัง เช่นนั้นเธอยังถือเป็นสุดยอดในแวดวงโลกธุรกิจอะไรกัน จะสามารถยืนหยัดอยู่ในคัยผู่กรุ๊ปอีกได้อย่างไรเล่า
หลี่ผู่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจกล่าวว่า “ดีมาก เพียงแค่นี้ก่อนสำหรับในตอนนี้ ต่อไปจะยังมีเรื่องราวมอบหมายเป็นหน้าที่ของเธอ ตั้งใจทำงาน เธอก็ไม่ต้องไปส่งแล้วล่ะ ศักดิ์ฐานะของฉันก็ต้องเก็บเป็นความลับด้วย”
พูดจบหลี่ผู่ก็ลุกขึ้นจากไป หลานเยว่ยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้นและไม่กล้าไปส่งเช่นกัน
แต่พอหลี่ผู่ผลักประตูเปิดออก ชายคนหนึ่งก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาพุ่งชนใส่อกของเขา ชายดังกล่าวเงยหน้ามองหลี่ผู่คราหนึ่งแล้วพูดว่า “นี่ ตาบอดหรือไง ไม่รู้จักดูทางด้วยเหรอ?”