บทที่ 3 ช่างวางอำนาจบาตรใหญ่นัก
“แกพูดว่าอะไรนะ?” สีหน้าหลี่ผู่เย็นชาวูบ พุ่งชนใส่ตนแล้วกลับยังไร้มารยาทถึงเพียงนี้
ชายคนนั้นแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่งถามว่า “แกอยู่แผนกไหน ชื่ออะไร?”
“แล้วแกล่ะอยู่แผนกไหนอีก ชื่ออะไร?” หลี่ผู่ถามกลับอย่างเย็นชา
ชายคนนั้นพูดอย่างภาคภูมิใจ “หลิวอี้จวิน รองประธานคัยผู่กรุ๊ป แกใช่คนของคัยผู่กรุ๊ปหรือ?”
“ถือว่าใช่มั้ง” หลี่ผู่พูดเสียงเรียบๆ
หลิวอี้จวินแค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่งกล่าวว่า “แกถูกไล่ออกแล้ว ไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย”
หลี่ผู่ถูกยั่วโทสะโกรธเคืองจนหัวเราะแล้ว เขาถามเสียงเรียบๆ ว่า “พวกคุณไล่คนออกตามอำเภอใจขนาดนี้หรือ?”
“แกสามารถทำอะไรได้ ผมพูดว่าจะไล่แกออก ก็ไล่แกออกได้แน่นอน” สีหน้าหลิวอี้จวินเต็มเปี่ยมความดูแคลน
หลี่ผู่กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “ช่างวางอำนาจบาตรใหญ่นัก”
“ผมเป็นรองประธานสำนักงานใหญ่มณฑลฉินซึ่งสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศส่งมา ควบตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแล แม้แต่คุณหลานก็ต้องรับการกำกับดูแลจากฉันเช่นกัน อย่าว่าแต่ตัวสารเลวอย่างแกเลย” หลิวอี้จวินเชิดจมูกขึ้นจ้องมองดูหลี่ผู่พลางพูดจาอย่างเหยียดหยาม
หลี่ผู่ขมวดคิ้วขึ้นวูบ ยามนี้เองหลานเยว่เปิดประตูผลัวะออกมา เมื่อเห็นหลิวอี้จวินจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณหลาน เจ้าหมอนี่ชนใส่ผมแล้ว แม้แต่ขอโทษสักคำก็ยังไม่มี พนักงานที่ไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ฉันตัดสินใจไล่เขาออก” หลิวอี้จวินกล่าวอย่างมีความเชื่อมั่น
หลานเยว่สาวเท้าก้าวใหญ่ๆ เดินเข้ามา หนึ่งฝ่ามือฟาดกระหน่ำใส่ศีรษะหลิวอี้จวินแล้วโดยตรง
เสียงดังเพียะฉาดหนึ่ง ตบจนหลิวอี้จวินตกตะลึงไปแล้วทันที
“คุณหลาน คุณกำลังทำอะไรครับ?” หลิวอี้จวินถามขึ้นอย่างโกรธเคือง
หลานเยว่แค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่งพูดว่า “แกถูกไล่ออกต่างหาก ไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย”
“อะไรนะ?” หลิวอี้จวินจ้องมองหลานเยว่อย่างเหลือเชื่อ ครู่ใหญ่ๆ จึงสามารถตั้งสติกลับคืนมาได้กล่าวว่า “เธอไม่มีสิทธิ์อำนาจไล่ฉันออก ผมเป็นหัวหน้างานของสำนักงานใหญ่”
“อย่างนั้นหรือ?” หลานเยว่หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรถึงสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศโดยตรง ครู่เดียวต่อมาเธอก็ยื่นโทรศัพท์ให้หลิวอี้จวินและตวาดว่า “รับโทรศัพท์”
หลิวอี้จวินสั่นไปทั้งตัววูบและรับโทรศัพท์แล้ว
ครู่เดียวต่อมาเขาเริ่มสั่นสะท้านไปตลอดทั้งตัว มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเทาไม่หยุดหย่อน ไม่สามารถกล่าววาจาออกมาได้สักคำ
หลานเยว่คว้าโทรศัพท์ตนคืนมาในหมับเดียว กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ตอนนี้คงสามารถไสหัวไปได้แล้วสินะ?”
“ไม่ใช่นะคุณหลาน เธอฟังฉันอธิบายก่อน” หลิวอี้จวินตระหนกตกใจสุดขีดแล้ว เมื่อครู่นี้ถ้อยคำของสำนักงานใหญ่ที่ใช้ต่อเขานั้น ช่างรุนแรงมากเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่ไล่เขาออกเท่านั้น ยังต้องการให้เขากลับสำนักงานใหญ่เพื่อรับการลงทัณฑ์อีกด้วย
เขารู้จักบอดี้การ์ดแก๊งค์นั้นเป็นอย่างดี คนที่ลงทัณฑ์นั้นเหี้ยมโหดมากขนาดไหน บางทีอาจต้องเจ็บปวดทรมานสาหัสปางตายแล้วก็เป็นได้
หลานเยว่เพียงพูดว่า “มีอะไรให้ไปอธิบายกับสำนักงานใหญ่ก็แล้วกัน ตอนนี้ไสหัวไปให้พ้นทันที”
เมื่อหลิวอี้จวินได้ฟัง เขารู้ว่าไม่มีความหวังใดๆ อีกแล้ว และคิดถึงผลที่ตามมาก็ตระหนกตกใจ จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงทั้งตัววูบสิ้นสติไปแล้ว
หลี่ผู่ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกคนเหล่านั้นบริหารจัดการกันอย่างไร ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ?”
“ต้องขอโทษด้วยเจ้านาย” หลานเยว่โค้งคำนับพูดขออภัย
หลี่ผู่ถอนหายใจคำหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ได้ตำหนิเธอ” พูดจบเขาก็จากไปแล้วทันที
หลานเยว่มองดูเงาหลังของหลี่ผู่พลางถอนหายใจโล่งอกยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง แล้วเช็ดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากออกไป
หลี่ผู่มาถึงข้างนอก หลังจากกินของเล็กน้อยอย่างลวกๆ แล้วก็โบกรถเดินทางกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงในบ้านก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ภายในห้องนั่งเล่น หลิ่วเสี่ยวอวี่และหวังซื่อเจี๋ยสวมกอดอยู่ด้วยกัน กำลังพร่ำพรอดหยอกเอินกันและกัน
หลี่ผู่เหลียวมองดูบริเวณโดยรอบ พบว่าทั้งหวังหลันและหลิ่วเจี้ยนกั๋วต่างล้วนไม่อยู่แล้ว คิดว่าจะต้องจงใจปลีกตัวไปแล้วอย่างแน่นอน
หลี่ผู่ไม่สนใจพวกเขา มุ่งหน้าเดินไปยังห้องของตัวเองทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้” หลิ่วเสี่ยวอวี่ตวาดเสียงดังคราหนึ่ง
หลี่ผู่ชะงักเท้าพร้อมกับเหลียวมองดูหลิ่วเสี่ยวอวี่
หลิ่วเสี่ยวอวี่ลุกขึ้นมาถึงตรงหน้าหลี่ผู่ พูดด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมความเหยียดหยาม “แกไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยจริงๆ ภรรยาของตัวเองอิงแอบอยู่ภายในอ้อมแขนผู้อื่น แต่แกก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำเลยหรอ?”
“ผมจะพิสูจน์ว่าผมเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง” หลี่ผู่กล่าวเสียงเรียบๆ “แต่สำหรับการกระทำของเธอในตอนนี้แล้ว ผมกลับต้องสงสัยว่าเธอยังเป็นมนุษย์หรือเปล่า”
“แกกล้าด่าฉันเรอะ?” หลิ่วเสี่ยวอวี่โกรธเคืองกราดเกรี้ยว เงื้อฝ่ามือตบใส่บนใบหน้าหลี่ผู่
แต่หลี่ผู่ยื่นมือออกวูบก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ หลิ่วเสี่ยวอวี่อุทานด้วยความเจ็บปวดทันที
หวังซื่อเจี๋ยเห็นเช่นนั้นก็ทะยานเข้ามาแล้วทันทีตวาดดังลั่น “ปล่อยมือเสี่ยวอวี่ออก”
หลี่ผู่ยิ้มน้อยๆ กลับไม่มีทีท่าปล่อยมือออกแม้แต่น้อยนิด
หวังซื่อเจี๋ยโกรธจัด กำหมัดซัดกระหน่ำใส่บนใบหน้าของหลี่ผู่ทันที
หลี่ผู่เตะออกหนึ่งเท้ารวดเร็วประดุจอสนีสายฟ้าก็ปาน เสียงดังตูม หวังซื่อเจี๋ยฟุบลงไปอยู่บนพื้นทันที ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด
ยามนี้หลี่ผู่จึงได้คลายมือปล่อยหลิ่วเสี่ยวอวี่ออก หลิ่วเสี่ยวอวี่ถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว กุมข้อมือด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมความเจ็บปวด
หลี่ผู่กวาดสายตาเย็นเฉียบมองผ่านบนหน้าของทั้งสอง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “อย่าได้ลงมือต่อสู้กับผม คนที่บาดเจ็บจะเป็นพวกคุณ”
หวังซื่อเจี๋ยดิ้นรนลุกขึ้นพลาง กำลังจะก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราดนั่นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทันใด
เขาหยิบออกมาดูแล้วรีบรับสายขึ้นมา
ครู่เดียวต่อมาเขาก็วางสายด้วยสีหน้ายินดีปรีดา แม้แต่ความเจ็บปวดก็ลืมจนหมดสิ้นแล้ว และพูดกับเสี่ยวอวี่ว่า “เสี่ยวอวี่ ค่อยคิดบัญชีกับเขาในภายหลัง ตอนนี้คัยผู่ต้องการเซ็นสัญญากับผม ผมจะไปจัดการเรื่องสำคัญก่อน เธอก็ไปทำงานในบริษัทเช่นกันเถอะ”
เมื่อหลิ่วเสี่ยวอวี่ได้ยิน เธอมองหลี่ผู่ด้วยสายตาเคียดแค้นโกรธเคือง แต่แล้วก็พูดกับหวังซื่อเจี๋ยว่า “ได้เลย ฉันเชื่อฟังนาย รีบไปจัดการเรื่องสำคัญเถอะ”
หวังซื่อเจี๋ยเหลียวหน้ามองดูหลี่ผู่ กล่าวอย่างเหี้ยมโหดดุร้ายว่า “แกรอฉันก่อนก็แล้วกัน เรื่องนี้ไม่จบแน่”
“ผมจะรอคอยพวกแก” หลี่ผู่กล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
หวังซื่อเจี๋ยแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง ไม่มีเวลาไปสนใจหลี่ผู่ รีบเร่งออกประตูไปพร้อมกับหลิ่วเสี่ยวอวี่
ห้าพันล้านนี้สำหรับเขาแล้วช่างสำคัญมากอย่างยิ่งเลยทีเดียว จะต้องคว้ามันมาให้ได้
มองดูทั้งสองคนจากไป หลี่ผู่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ช่างวิเศษมหัศจรรย์จริงๆ เลยนะเนี่ย เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนถึงบทสรุปนั้น พวกคุณจะมีการแสดงออกยังไง ช่างทำให้ผู้คนคาดหวังอย่างยิ่งจริงๆ เลย” หลี่ผู่บ่นพึมพำกับตัวเอง และกลับมาถึงห้องตัวเองแล้ว
ส่วนหวังซื่อเจี๋ย ขับรถรีบเร่งห้อตะบึงตลอดทางจนถึงอาคารใหญ่คัยผู่ และมาถึงสำนักงานของหลานเยว่
หลานเยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ผู้บริหาร หวังซื่อเจี๋ยเข้ามาใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มประจบสอพลอ กล่าวทักทายอย่างนอบน้อม
“เชิญนั่งค่ะ” ใบหน้าหลานเยว่กอปรด้วยรอยยิ้ม ท่าทางสุภาพเป็นอย่างพิเศษ
หวังซื่อเจี๋ยรีบเร่งนั่งลง หลานเยว่หยิบเอกสารออกมาปึกหนึ่งทันที วางลงตรงหน้าเขากล่าวว่า “ประธานหวัง การระดมทุนของคุณผ่านการอนุมัติของพวกเราแล้ว ลงนามในเอกสารเหล่านี้แล้ว เงินห้าพันล้านก็จะโอนเข้าบัญชีกลุ่มทุนของคุณทันที”
หวังซื่อเจี๋ยยินดีอย่างใหญ่หลวง เขารีบเปิดเอกสารอ่านดูขึ้นมา
แต่ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสีหน้าเขาดูประหลาดใจ ถามอย่างรีบเร่งว่า “คุณหลาน นี่ไม่ถูกต้องละมั้ง ทำไมพวกคุณจึงต้องส่งคนเข้าไปในบอร์ดผู้บริหารมากมายขนาดนี้ล่ะ?”
“เพื่อกำกับดูแลกองทุนน่ะ” หลานเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “นี่คือจำนวนเงินมากถึงห้าพันล้านนะ ถ้าไม่มีการกำกับดูแล หากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว พวกคุณจะเอาอะไรมาจ่ายคืนล่ะ?”
“นั่นก็ไม่ต้องใช้คนจำนวนมากขนาดนี้นี่นา” หวังซื่อเจี๋ยมองดูเงื่อนไขแล้ว ภายในใจรู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากทำในลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าทางด้านสัดส่วนจำนวนผู้ถือครองหุ้น หรือว่าสัดส่วนของคณะกรรมการบริหาร คัยผู่ล้วนยึดครองแล้วเป็นส่วนใหญ่ สามารถไล่เขาออกจากคณะกรรมการบริหารได้ทุกเมื่อเลย
หลานเยว่ค้อมกายอยู่บ้างเล็กน้อย โน้มตัวลงกอปรด้วยความกดดันที่เหนือกว่ากล่าวว่า
“ประธานหวัง คุณน่าจะเข้าใจกระจ่างเป็นอย่างดี ถึงแม้หน้าฉากกลุ่มทุนพวกคุณยังดีอยู่ก็จริง แต่คุณก้าวกระโดดรวดเร็วมากเกินไป กระแสเงินสดจึงขาดสภาพคล่องแล้ว ก็มีแต่เพียงคัยผู่พวกเราเท่านั้นเช่นกัน ที่กอปรด้วยพลังเงินทุนและความกล้าหาญชาญชัยดังกล่าวนี้ สามารถช่วยทำให้เหิงไท่ฟื้นฟูกลับคืนมาได้ อีกอย่างจะว่าไปแล้วด้วยศักยภาพแท้จริงของคัยผู่พวกเรา หรือว่ายังจะหมายตาเหิงไท่อันเล็กจ้อยขนาดนี้ของคุณอีก คุณคิดมากเกินไปแล้วล่ะ”
ภายในใจหวังซื่อเจี๋ยเริ่มสับสนดิ้นรนอย่างยากลำบาก เหิงไท่กำลังเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้อยู่จริงๆ กระแสเงินสดขาดสภาพคล่องแล้ว และมาถึงจุดที่อันตรายมากเป็นอย่างยิ่งแล้ว
ดังนั้นด้านหนึ่งเขาขอความช่วยเหลือจากคัยผู่กรุ๊ป อีกด้านหนึ่งติดต่อสร้างสัมพันธ์กับหลิ่วเสี่ยวอวี่ เตรียมการไว้แล้วถึงสองอย่าง
ถ้าหากคัยผู่ไม่ตอบตกลง เขาก็เตรียมพร้อมจับหลิ่วเสี่ยวอวี่ให้อยู่หมัด อาศัยเงินทุนของตระกูลหลิ่วก้าวข้ามผ่านวิกฤตการณ์ และฉวยโอกาสกลืนตระกูลหลิ่วเสียเลย
แต่ศักยภาพแท้จริงของตระกูลหลิ่ว อย่างมากที่สุดเพียงแค่ทำให้เขาสามารถอยู่รอดได้อย่างฝืดเคืองเท่านั้น จำนวนห้าพันล้านนี้ต่างหาก จึงสามารถทำให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างแท้จริง