บทที่ 4 หย่าขาดจากไปโดยไร้ทรัพย์สินใดๆ
เมื่อเห็นลักษณะท่าทางรีรอลังเลใจของหวังซื่อเจี๋ย สีหน้าหลานเยว่เคร่งขรึมวูบกล่าวว่า “ประธานหวังคะ คุณไตร่ตรองให้รอบคอบ การกำกับดูแลกองทุนของคัยผู่พวกเรานั้น เข้มงวดกวดขันอย่างยิ่งเสมอมา นี่เป็นความจำเป็นตามปกติอยู่แล้ว คุณมีความวิตกกังวล พวกเราก็มีความวิตกกังวลเช่นกัน ถ้าไม่เห็นด้วยละก็ สามารถยุติความร่วมมือได้ค่ะ”
หวังซื่อเจี๋ยดิ้นรนอย่างลำบากแสนเข็ญแล้วครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงตัดสินใจลงนาม
เงินจำนวนห้าพันล้านนี้สำคัญเกินไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่ที่เป็นยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ ย่อมไม่คิดหมายตากลุ่มทุนเล็กๆ เช่นนี้ของเขากระมัง
“ผมเซ็น” ในที่สุดหวังซื่อเจี๋ยก็เซ็นสัญญาลงนามอย่างเชื่องเชื่อ
หลานเยว่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ผู้บริหาร โยกไหวไปมาเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
เมื่อเซ็นลงนามเสร็จสิ้นแล้ว หลานเยว่ก็ลุกขึ้นมา แล้วยื่นมือออกให้หวังซื่อเจี๋ยจับพูดว่า “ขอให้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข เหิงไท่ กรุ๊ปจะได้รับการเงินโอนทันที โปรดตรวจสอบการรับโอนด้วยค่ะ”
หวังซื่อเจี๋ยรีบเร่งจับมือกับหลานเยว่ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
หลานเยว่ดึงมือกลับยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพูดว่า “ถ้างั้นก็ไม่ส่งแล้วล่ะ”
หวังซื่อเจี๋ยพยักหน้าโค้งคำนับ ค้อมกายออกไปจากสำนักงานแล้ว เพื่อรีบเร่งกลับไปจัดการเรื่องราวในลำดับต่อไปแล้ว
หลานเยว่นั่งกลับคืนบนเก้าอี้ใหญ่ผู้บริหาร กล่าวด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมความเย้ยหยันว่า “เจ้าตัวโง่เขลาเบาปัญญา”
……
ยามเย็นย่ำค่ำ
หลี่ผู่เสร็จสิ้นจากการฝึกฌานนั่งสมาธิ ลงไปชั้นล่างเพื่อทานข้าวนอกบ้าน
มาถึงห้องนั่งเล่น เห็นหลิ่วเจี้ยนกั๋ว หวังหลัน หลิ่วเสี่ยวอวี่และหวังซื่อเจี๋ย ทั้งสี่คนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาสนทนากันพร้อมเสียงหัวเราะ
หลี่ผู่มองดูแล้วคราหนึ่งก็มุ่งหน้าเดินออกไป
แต่ยามนี้เองหลิ่วเสี่ยวอวี่กลับพูดขึ้น “หลี่ผู่”
“เรื่องอะไรเรอะ?” หลี่ผู่หันร่างกลับมา
หลิ่วเสี่ยวอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมรอยยิ้มชื่นมื่น “ซื่อเจี๋ยได้เงินจากคัยผู่ห้าพันล้านแล้ว”
“มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผมล่ะ” หลี่ผู่พูดเสียงเรียบเฉย
หลิ่วเสี่ยวอวี่ยิ้มคราหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ช้าเหิงไท่ของเขาก็จะพัฒนารุดหน้าอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นองค์กรชั้นนำระดับแนวหน้าของซีจิงแล้ว”
“เช่นนั้นต้องขอแสดงความยินดีครับ” สีหน้าหลี่ผู่เรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ
หลิ่วเสี่ยวอวี่โกรธเคืองขึ้น เจ้าหมอนี่ช่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยจริงๆ
“หลี่ผู่ คืนนี้ซื่อเจี๋ยจะค้างแรมอยู่ในสถานที่นี้แล้ว อยู่ห้องเดียวกับฉัน ถ้าหากเจ้าไม่มีเรื่องอะไร ก็อย่าได้ออกมาเดินสะเปะสะปะวุ่นวาย จะได้ไม่ต้องเห็นสิ่งที่ไม่สมควรเห็น” หลิ่วเสี่ยวอวี่เกาะแขนของหวังซื่อเจี๋ยเอาไว้ พลางพูดอย่างสุดแสนเหยียดหยามดูแคลน
หลี่ผู่สีหน้าเคร่งขรึม สายตาเขามองกวาดผ่านใบหน้าของคนตระกูลหลิ่วทีละคน
แต่หลิ่วเจี้ยนกั๋วและหวังหลันสีหน้าช่างราบเรียบสงบนิ่ง อีกทั้งหลิ่วเสี่ยวอวี่ยังยิ้มแย้มแจ่มใสปานบุปผาด้วยซ้ำ หวังซื่อเจี๋ยสีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความหยิ่งผยองทะนงตัว
ไม่มีใครสักคนที่รู้สึกละอายใจ พวกเขาแสดงออกเพียงท่าทีหนึ่งเดียว นั่นก็คือการเหยียดหยามเขาอย่างไร้ปรานี
ครู่เดียวตอมา หลี่ผู่ทอดถอนใจคำหนึ่งกล่าวว่า “เอาเถอะ ผมเห็นพ้องแล้ว พรุ่งนี้ก็ไปหย่าร้างกันเลย”
หลิ่วเสี่ยวอวี่ยินดีปานคลุ้มคลั่งทันใด ตะโกนขึ้นว่า “พูดแล้วต้องรักษาคำพูดด้วย ใครที่ไม่ไปเป็นลูกสุนัข”
ดวงตาหลี่ผู่เปล่งประกายสังหารขึ้นวูบ ทว่าเขาเพียงแค่พูดอย่างเย็นชาว่า “ผมหลี่ผู่รักษาคำพูดอยู่แล้ว พวกเราต่างล้วนอย่าได้สำนึกเสียใจก็แล้วกัน
“เสียใจเหรอ?” หลิ่วเสี่ยวอวี่หัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาอย่างหยิ่งผยองกล่าวว่า “สิ่งที่ฉันสำนึกเสียใจมากที่สุด ก็คือจดทะเบียนสมรสกับเศษสวะไร้ค่าผู้นี้อย่างแก”
พ่อแม่ของหลิ่วเสี่ยวอวี่ก็สอดปากรับคำพูดขึ้นเช่นกันว่า “วาจาเป็นสัจจะ พรุ่งนี้พวกเธอก็ไปหย่าร้างกันแต่เช้าเลย”
“หย่าขาดจากไปโดยไร้ทรัพย์สินใดๆ” แม่ของหลิ่วเสี่ยวอวี่ยังไม่ลืมพูดเพิ่มขึ้นอีกคำหนึ่ง
หลี่ผู่หัวเราะแล้ว เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ทุกอย่างล้วนทำตามที่พวกคุณคิดแล้วกัน”
คนของตระกูลหลิ่วล้วนยินดีเป็นอย่างมาก สีหน้าหวังซื่อเจี๋ยเต็มไปด้วยความปิติยินดีมากยิ่งกว่า เขาไม่เพียงแต่ได้รับห้าพันล้านจากคัยผู่แล้วเท่านั้น ตระกูลหลิ่วก็กำลังจะถูกเขาฮุบแล้วเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน หลิ่วเสี่ยวหลานก็ผลักประตูเดินเข้ามา เมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางของทุกคนจึงรีบถามว่า “พวกคุณกำลังทำอะไรหรือ?”
“หลี่ผู่รับปากหย่าร้างกับฉันแล้ว” หลิ่วเสี่ยวอวี่ยิ้มพลางพูดขึ้น
หลิ่วเสี่ยวหลานสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหลียวหน้ามองดูหลี่ผู่ถามว่า “พี่ได้รับปากฉันไว้แล้วไม่ใช่หรือ?”
“เด็กโง่เอย เรื่องราวแบบนี้จะสามารถแข็งขืนบังคับกันได้อย่างไรล่ะ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะ” หลี่ผู่ยิ้มน้อยๆ พลางพูดขึ้น
หลิ่วเสี่ยวหลานมองไปทางพ่อแม่อย่างเหลือเชื่อถามว่า “พวกคุณตัดสินใจทำแบบนี้แน่นอนเหรอ?”
“แน่นอนแล้ว ให้คนเกียจคร้านผู้นี้อาศัยอยู่ภายในบ้าน รังแต่จะเป็นอุปสรรคตัวถ่วงอนาคตพี่สาวเธอและตระกูลหลิ่วเท่านั้น ให้เขารีบไสหัวไปซะ” หลิ่วเจี้ยนกั๋วตอบ
“คุณแม่ล่ะ?” หลิ่วเสี่ยวหลานมองไปทางมารดา
หวังหลันพูดโน้มน้าวอย่างอดทนจริงใจเปี่ยมเจตนาดีว่า “ตระกูลหลิ่วพวกเราร่วมมือกับหวังซื่อเจี๋ยพันธมิตรกันอย่างแข็งแกร่ง จึงจะมีอนาคตที่ดีสดใสมากยิ่งกว่า ทุกอย่างทำเพื่อวาสนาความสุขของพี่สาวเธอและอนาคตของตระกูลหลิ่วทั้งสิ้น เธอต้องเข้าใจด้วยนะลูก”
“พวกคุณทำแบบนี้ได้ยังไง?” หลิ่วเสี่ยวหลานบันดาลโทสะโดยสิ้นเชิง เธอส่งเสียงคำรามออกมาคราหนึ่ง
เธอชี้นิ้วอันสั่นเทาไปยังพ่อแม่และพี่สาว หลั่งน้ำตาสะอื้นร่ำไห้กล่าวว่า “ถ้าไม่มีหลี่ผู่ ไหนเลยจะมีตระกูลหลิ่วในวันนี้ หรือว่าพวกคุณแม้แต่มโนธรรมอันน้อยนิดก็ยังไม่มีแล้วหรือ ถึงไล่เขาออกจากบ้านไปแบบนี้?”
“เธอกำลังพูดบ้าอะไร?” หลิ่วเจี้ยนกั๋วบันดาลโทสะกราดเกรี้ยว ถลึงจ้องมองลูกสาวอย่างดุร้าย
ภายในใจหลิ่วเสี่ยวหลานรู้สึกเจ็บปวดร้าวราน ตะลึงงันอยู่ในตรงนั้น
ผ่านไปเนิ่นนานเธอจึงตั้งสติกลับคืนมาได้
ยามนี้เธอไม่มีน้ำตาอีกแล้ว มีแต่ความรู้สึกผิดหวังและเศร้าโศกเสียใจ
เธอมองดูพ่อแม่แล้วส่ายหน้าพลางพูดว่า “หนูทนอยู่ในครอบครัวแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว พวกคุณต้องการทำยังไงก็ทำไปเลย”
พูดจบหลิ่วเสี่ยวหลานก็จากไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
หลิ่วเจี้ยนกั๋วรู้สึกสำนึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่หวังหลันพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจเธอ ผ่านไปสักหลายวันเมื่อคิดได้แล้ว เธอก็จะกลับมาเองแลหะ”
หลี่ผู่ขมวดคิ้วแนบแน่น กล่าวช้าๆ ว่า “ผมไปก่อน พรุ่งนี้อย่าลืมรุดไปที่แผนกทะเบียนราษฎร์แต่เช้า”
พูดจบเขาก็สาวเท้าก้าวใหญ่ๆ จากไปเช่นกัน
หวังหลันแค่นเสียงเย็นชาแล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้กล้าไม่ไป จะฟาดขาแกให้หัก”
“ประธานหวัง” หลิ่วเจี้ยนกั๋วพูดอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ผมกับป้าคุณไปพักผ่อนก่อนแล้ว คุณและเสี่ยวอวี่คุยกันให้สนุก ไม่รบกวนพวกคุณแล้วล่ะ”
พูดจบหลิ่วเจี้ยนกั๋วดึงตัวหวังหลันไปพลาง ทั้งสองคนรีบกลับไปถึงของตัวเองแล้วอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ หวังซื่อเจี๋ยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กอดหลิ่วเสี่ยวอวี่ไว้มาถึงห้องของเธอ แล้วกดเธอนอนลงบนเตียงทันที จัดการถอดเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วอย่างแทบทนรอไม่ไหว
หลิ่วเสี่ยวอวี่กลับรีบห้ามปรามไว้กล่าวว่า “เวลานี้ยังไม่ได้ รอจนถึงพวกเราจัดพิธีแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ถึงวันนั้นฉันค่อยยอมใจคุณทุกอย่างดีมั้ย?”
เมื่อหวังซื่อเจี๋ยได้ยินก็ไม่แข็งขืนบังคับอีก เพียงแต่กล่าวว่า “ขอเพียงเธอมีความสุข ผมรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร”
“ไม่เอาน่า” หลิ่วเสี่ยวอวี่กล่าวขึ้นอย่างออดอ้อน “ช้าเร็วฉันก็เป็นคนของนายอยู่แล้ว ใจร้อนไปทำไมล่ะ คุณว่าจะจัดพิธีแต่งงานเมื่อไรดีล่ะ?”
“ก็ไม่กี่วันนี้เถอะ รอให้เธอหย่าร้างกับสวะไร้ค่าขี้ขลาดตาขาวผู้นั้นแล้ว ฉันก็จะจัดการเรื่องเตรียมพิธีงานแต่งงานทันทีเลย” หวังซื่อเจี๋ยตอบอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อยนิด
เมื่อหลิ่วเสี่ยวอวี่ได้ฟัง ก็อิงแอบซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของหวังซื่อเจี๋ยกล่าวว่า “ฉันรักคุณนะ ซื่อเจี๋ย”
“ผมก็รักเธอเช่นกัน เสี่ยวอวี่”
ใบหน้าหลิ่วเสี่ยวอวี่เปี่ยมรอยยิ้มแห่งวาสนาความสุข ภายในดวงตาหวังซื่อเจี๋ยเปล่งประกายสติปัญญามีวิสัยทัศน์ขึ้นวูบวาบ
ส่วนหลี่ผู่หลังจากออกจากบ้านตระกูลหลิ่วแล้ว ก็เดินทอดน่องอยู่บนถนน พร้อมกับได้ส่งข้อความถึงหลิ่วเสี่ยวหลาน ให้เธอหาสถานที่สักแห่งสงบสติอารมณ์สักสองวัน อย่าได้เที่ยววิ่งสะเปะสะปะวุ่นวาย
บางทีในด้านความสามารถหลิ่วเสี่ยวหลานอาจไม่เก่งกาจอะไรมากนัก แต่เธออายุยังน้อยสามารถปลูกฝังฝึกฝนบ่มเพาะได้
แต่มุมมองค่านิยมที่ถูกต้องของเธอ กอปรด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเธอนั้น จึงเป็นจุดที่หลี่ผู่รู้สึกชื่นชมมากที่สุด
คนลักษณะเช่นนี้ ในอนาคตเขาต้องให้ความสำคัญใช้งานอย่างแน่นอน
หลี่ผู่เดินอยู่บนถนนอย่างช้าๆ ในลักษณะเช่นนี้ ครุ่นคิดไตร่ตรองถึงปัญหาที่จะตามมา
เขาได้เดินมานานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วโดยไม่รู้ตัว
ยามนี้เองริมถนนเกิดเสียงร้องอุทานตกใจเสียงหนึ่ง
หลี่ผู่เหลียวหน้าหันกลับไปมอง ก็เห็นเด็กน้อยอายุเพียงสี่หรือห้าขวบเท่านั้นคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจึงเดินถึงกลางถนนแล้วตามลำพังคนเดียว และรถยนต์คันหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาพอดี เห็นอยู่แล้วว่ากำลังจะพุ่งชนใส่แล้ว
แม้ว่าคนขับจะเหยียบเบรกอย่างเต็มที่แล้ว แต่ระยะห่างเพียงแค่นี้ เด็กน้อยก็ยังคงมีอันตรายถึงชีวิตอยู่ดี
ตั้งแต่สายตาได้เห็นเป็นครั้งแรกนั้น หลี่ผู่ก็ได้ตัดสินใจขึ้นมาแล้วโดยไม่รู้ตัว