บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 ด้วยเหตุผลใด

  

หลี่ผู่หัวเราะเบาๆ คราหนึ่งกล่าวว่า “ผมเคยบอกแกแล้วว่าอย่าได้ลงไม้ลงมือ คนที่เสียเปรียบคือพวกคุณเ”

  

“ซื่อเจี๋ย อย่าได้สนใจเขา การลงมือกับเขารังแต่จะทำให้คุณลดตัวต่ำลงเท่านั้น พวกเราไป” หลิ่วเสี่ยวอวี่เหลือบมองหลี่ผู่อย่างเหยียดหยามคราหนึ่ง พลางลากตัวหวังซื่อเจี๋ยจากไปแล้ว

  

ก่อนไปหวังซื่อเจี๋ยยังไม่ลืมพูดว่า “ไอ้หนูแกรอคอยได้เลย บัญชีของแกฉันยังไม่ได้คิดกับแกให้เสร็จสิ้นเลยนะ รอให้ฉันมีเวลาว่างแล้ว ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้เน่”

  

“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ” หลี่ผู่ยิ้มพลางพูดขึ้น

  

คนทั้งสองพร้อมบอดี้การ์ด เชิดศีรษะขึ้นอย่างหยิ่งผยอง จากไปอย่างเชื่อมั่นสบายอกสบายใจ

  

หลี่ผู่ส่ายๆ หน้า พูดขึ้นอย่างเงียบเชียบว่า “ฉันเองก็คาดหวังรอคอยพิธีแต่งงานของพวกคุณเหมือนกัน”

  

พูดจบเขาก็ขับรถกลับถึงชุมชนลู่ลี่ จอดรถไว้ตรงประตูคฤหาสน์ จ้องมองดูชุมชนขนาดใหญ่ หลี่ผู่ตัดสินใจไปเดินเล่นสักรอบ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมสักครา

  

ชุมชนแห่งนี้ช่างกว้างขวางมาก ตรงกลางยังมีสวนสาธารณะแห่งหนึ่งด้วย เพียงแค่สวนสาธารณะแห่งนี้ ก็ยึดครองพื้นที่มากกว่าสองร้อยเอเคอร์แล้ว

  

เดินเล่นอยู่ภายในสวนสาธารณะ หลี่ผู่หวนรำลึกคิดถึงชีวิตของตัวเอง

  

ตั้งแต่เด็กพ่อแม่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับเป็นปริศนา อาศัยคุณปู่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ตอนอายุสิบหกของปีนั้น เขาได้ปลุกวิญญาณมังกรตื่นขึ้นและรับมรดกตกทอดโบราณแล้ว

  

จากนั้นเป็นต้นมาก็เดินทางไปต่างประเทศ ก่อตั้งกองทหารรับจ้างเหวลึกขึ้นมา และได้รวบรวมทรัพย์สมบัติจำนวนมากมหาศาล

  

หลังจากนั้นก็สลายกองทหารรับจ้าง ก่อตั้งกลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่ขึ้นมา แล้วหวนกลับซีจิงแผ่นดินบ้านเกิดเพื่อแต่งงานจนสำเร็จลุล่วง

  

ใครจะไปรู้ว่า วิถีชีวิตเปี่ยมวาสนามีความสุขหาได้มา ตรงกันข้ามกลับถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความปรานี และเหยียดหยามให้ได้รับความอัปยศอดสู

  

นึกขึ้นมาแล้ว เรื่องราวในโลกช่างแปรปรวนไม่แน่นอนจริงๆ ชีวิตหมู่มวลมนุษย์ช่างมีแต่ความผันผวนไม่จีรังยั่งยืน

  

ขณะที่เขาอยู่ท่ามกลางภวังค์หวนคิดถึงความทรงจำนั่นเอง พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทันใด “หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าเข้าใกล้กว่านี้อีกแล้ว”

  

หลี่ผู่เงยหน้าขึ้นมองคราหนึ่ง ก็เห็นชายร่างใหญ่ในชุดสูทสีดำผู้หนึ่ง สกัดกั้นขวางทางของตนไว้แล้ว

  

เบื้องหน้าเขา เด็กสาวสวยงามวัยยี่สิบต้นๆ ผู้หนึ่ง กำลังจับแขนช่วยผู้อาวุโสหลังค้อมร่างโค้งงอคนหนึ่งให้เดินเล่น

  

หลี่ผู่ขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอย่างไรหรอ สถานที่นี้เป็นของบ้านคุณหรือ?”

  

“ไม่ใช่ แต่ห้ามเข้าใกล้อีกนะ” ชายร่างใหญ่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ

  

หลี่ผู่กล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “ในเมื่อไม่ใช่ งั้นทุกคนต่างล้วนมีสิทธิ์เดินทั้งสิ้น หลีกทางออก”

  

“ถ้าเข้าใกล้อีกผมก็จะไม่เกรงใจแล้ว” ชายร่างใหญ่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยนิด

  

ใบหน้าของหลี่ผู่ค่อยๆ ปรากฏความโกรธเคืองขึ้นแล้ว เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ชนชั้นอภิสิทธิ์งั้นเหรอ?”

  

ชายร่างใหญ่สีหน้าเย็นชาลง ผู้อาวุโสคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงแก่ชราว่า “หลีกทางออก น่ารำคาญจริงๆเลย นี่คือทางเดินของทุกคน ไม่ใช่ของฉันคนเดียวสักหน่อย”

  

เมื่อชายร่างใหญ่ได้ยินเช่นนี้ จึงได้ล่าถอยไปอย่างเงียบงัน

  

หลี่ผู่ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ผู้อาวุโสยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าทักทายกับหลี่ผู่

  

หลี่ผู่พยักหน้าตอบถือเป็นการทักทาย ก้าวเท้ามุ่งเดินไปข้างหน้าต่อ

  

ยามนี้เองเด็กสาวกล่าวว่า “ไม่มีมารยาท”

  

“เธอพูดว่าอะไรนะ” หลี่ผู่หันหลังกลับมาจ้องมองดูเด็กสาว

  

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองแล้วกล่าวว่า “ฉันพูดว่าคุณน่ะไร้มารยาท”

  

“นังหนูน้อย” หลี่ผู่กล่าวเสียงเรียบๆ “ไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถวางอำนาจเหยียดหยามดูหมิ่นคนอื่นได้นะ ผมคิดว่าผมสุภาพเกรงใจมากแล้ว”

  

เด็กสาวสีหน้าเย็นชาวูบถามว่า “คุณหมายว่าความว่าอย่างไร?”

  

เมื่อเห็นทั้งสองคนจะทะเลาะกันขึ้นมา ผู้อาวุโสจึงยิ้มน้อยอย่างเฉยเมยแล้วกล่าวว่า “หนุ่มน้อย โปรดเห็นแก่หน้าผู้อาวุโสที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งคนนี้สักครั้ง อย่าได้ถือสาหาความกับเธอ เป็นอย่างไง”

  

หลี่ผู่หันหน้ามองดูผู้อาวุโส พิจารณามองดูขึ้นลงแล้วสองครากล่าวช้าๆ ว่า “ป่วยหนักจนอาการโคม่าแล้ว”

  

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เด็กสาวบันดาลโทสะอย่างเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด ชี้นิ้วใส่จมูกของหลี่ผู่พูดว่า “คุณพูดใหม่อีกครั้งสิ?”

  

“ผมพูดอะไรผิดไปหรือ?” หลี่ผู่พูดด้วยสีหน้าเย็นชา

  

ขณะเด็กสาวกำลังจะอาละวาด ผู้อาวุโสก็ขัดขวางเอาไว้แล้ว เขายิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “หนุ่มน้อยดูเหมือนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปเลยนะ”

  

หลี่ผู่พูดเสียงเรียบๆ ว่า “ธรรมดานั่นเอง”

  

“ฉันเห็นว่าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป นายคิดว่าฉันยังสามารถมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหนล่ะ?”

  

หลี่ผู่พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “คงหนึ่งสัปดาห์”

  

เมื่อเด็กสาวได้ยินเข้าก็โกรธจนตัวสั่น สายตามองไปที่บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลัง บอดี้การ์ดจึงทะยานร่างเข้ามาแล้วอย่างรวดเร็ว

  

ดวงตาผู้อาวุโสเป็นประกายวูบ และแล้วเขาโบกมือคราหนึ่งถามขึ้นว่า “งั้นเหรอ แล้วหนุ่มน้อยมีวิธีการรักษาไหม?”

  

“วิธีการรักษาก็ไม่ใช่ว่าไม่มี ทำไมผมต้องบอกคุณล่ะ?” หลี่ผู่พูดขึ้นเสียงเรียบๆ

  

ผู้อาวุโสหัวเราะทันใด เขาผงกศีรษะกล่าวว่า “พูดได้ถูกต้อง ด้วยเหตุผลใด หนุ่มน้อยเดินดีๆ นะ”

  

หลี่ผู่หันหลังกลับมุ่งหน้าเดินต่อไป

  

ยามนี้เองเด็กสาวพูดขึ้นว่า “คุณปู่ คนนี้ช่างหยิ่งผยองโอหังมากเกินไปแล้ว”

  

“อย่าพูดแบบนี้สิ ในสายตาผู้อื่นดูแล้ว หรือว่าพวกเราไม่ใช่หยิ่งผยองยโสหรอกหรือ? ก็เหมือนที่ผู้อื่นเขาพูดนั่นแหละ พวกเราอาศัยเหตุผลอะไรละ?” ผู้อาวุโสค้อมกายลงมุ่งหน้าเดินหน้าต่อไป

  

เด็กสาวหลั่งน้ำตาด้วยความคับแค้นใจกล่าวว่า “ก็อาศัยเหตุผลที่คุณปู่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากรับใช้ประเทศชาติ สร้างผลงานความดีรับผิดชอบต่อบ้านเมืองอย่างไงล่ะ”

  

“พูดบ้าอะไรกัน เพื่อประเทศชาติมันเป็นเรื่องที่พึงกระทำไม่ใช่หรอ ด้วยเหตุนี้พวกเราก็สามารถหยิ่งผยองโอหังได้งั้นหรอ” ผู้อาวุโสรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย

  

หลี่ผู่ชะงักเท้าลงแล้วอย่างกะทันหัน เขาหันหลังกลับมามองดูผู้อาวุโส

  

“ขอเรียนถามนามของคุณ?” หลี่ผู่เอ่ยปากถามขึ้น

  

ผู้อาวุโสยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ฉันชื่อโจวอู่ฉู้”

  

“วีรบุรุษผู้บุกเบิกก่อตั้งประเทศ?” หลี่ผู่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

  

โจวอู่ฉู้โบกมือกล่าวว่า “ผู้อาวุโสคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

  

หลี่ผู่ตกอยู่ในภวังค์การครุ่นคิด

  

โจวอู่ฉู้ วีรบุรุษผู้บุกเบิกก่อตั้งประเทศต้าเซี่ย มีผลงานกรำศึกสงครามมาอย่างโชกโชนยิ่งนักชื่อเสียงโด่งดังระบือไกล ต่อมารับราชการตำแหน่งบุคคลระดับสูงสุดสังกัดกรมทหาร มีศักดิ์ฐานะสูงส่งยิ่งนักทั้งในแวดวงทหารและการเมือง มีผู้ใต้บังคับบัญชาในสังกัดมากมายทั่วทุกมุมโลก เขาเป็นคนที่สมควรให้ความเคารพนับถือมากเป็นอย่างยิ่งผู้หนึ่ง

  

ครู่เดียวต่อมาหลี่ผู่กล่าวช้าๆ ขึ้นว่า “กลับเสียมารยาทแล้ว อาการป่วยของคุณผู้อาวุโสนั้น ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีวิธีการรักษา ถ้าหากเชื่อใจฉันละก็ พวกเราหาสถานที่สักแห่งเพื่อสนทนากันสักคราดีหรือไม่?”

  

ผู้อาวุโสยิ้มน้อยๆ คราหนึ่งกล่าวว่า “ฉันดูออกแต่แรกแล้วว่าหนุ่มน้อยไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ไปนั่งภายในบ้านฉันหน่อยเป็นอย่างไร?”

  

“เชิญครับ” หลี่ผู่พยักหน้ารับคำ

  

ยามนี้เองเด็กสาวพูดขึ้นว่า “คุณปู่ คุณปู่อย่าได้เชื่อเขานะ ต้องเป็นนักต้มตุ๋นแน่เลย เขาจงใจเข้ามาตีสนิทใกล้ชิดคุณปู่ต่างหาก”

  

“ฉันที่เป็นตาแก่คนหนึ่ง จะมีอะไรให้หลอกลวงเล่า หนูคิดมากไปแล้ว”

  

โจวอู่ฉู้ส่งสัญญาณให้หลี่ผู่ตามเขาไป ทั้งสองมุ่งหน้าเดินย้อนไปตามเส้นทางขามา

  

เด็กสาวกระทืบเท้าอยู่ทางด้านหลังตลอดเวลา คุณปู่ของเธอได้รับการปฏิบัติอย่างสูงสุดของประเทศ แม้แต่ทีมคณะแพทย์ชั้นนำของเมืองหลวงก็ยังอับจนปัญญา เจ้าหมอนี่ที่หยิ่งยโสโอหังคนนี้จะสามารถมีวิธีการรักษาอะไรกันเล่า เห็นได้ชัดว่าจงใจเสแสร้งตีสนิทใกล้ชิดกับพวกเขา คิดต้องการสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลโจวของพวกเขา

  

แต่เธอก็มิกล้าขัดขวางความปรารถนาของคุณปู่ จึงได้แต่เข้าไปช่วยพยุงแขนคุณปู่กลับบ้าน และถลึงตาใส่หลี่ผู่เป็นครั้งคราวอยู่ร่ำไป

  

หลี่ผู่ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่นานนักทั้งสองคนก็มาถึงบ้านของโจวอู่ฉู้แล้ว และนั่งลงอยู่ในห้องนั่งเล่น

  

โจวอู่ฉู้ถามขึ้นว่า “หนุ่มน้อย สามารถดูสภาพอาการป่วยของฉันออกมั้ย?”

  

“โรคเก่าจากอาการบาดเจ็บภายนอกส่งผลให้เกิดบาดเจ็บภายใน อีกทั้งย่างเข้าวัยชราร่างกายทรุดโทรมถดถอย ตอนนี้บริเวณปอดเสื่อมถอยทำงานล้มเหลว ถ้าหากไม่ใช่พึ่งตัวยาชั้นเลิศคอยประคองอาการไว้ คุณคงเสียชีวิตไปแต่แรกเนิ่นนานแล้ว” หลี่ผู่กล่าวอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยนิด

  

ดวงตาผู้อาวุโสเป็นประกายขึ้นวูบถามว่า “หนุ่มน้อยสามารถรู้ได้อย่างไง?”

  

“สังเกตจากสีผิวร่างกายคุณ” หลี่ผู่กล่าวเสียงเรียบ

  

ผู้อาวุโสตะลึงงันวูบกล่าวว่า “ทักษะการสังเกตไม่เลวนะ ทว่ามีวิธีการรักษายังไงมั้ย?”

  

“คุณถอดเสื้อท่อนบนออก ผมจะช่วยถ่ายทอดพลังชี่เข้าสู่ร่างกายคุณ หลังจากนั้นค่อยมอบเคล็ดวิชาแก่คุณชุดหนึ่ง ให้คุณฝึกฌานบำเพ็ญเพียรตามเคล็ดวิชา จะสามารถมีอายุขัยยืนยาวกว่าร้อยปีขึ้นไป” หลี่ผู่กล่าว

  

ผู้อาวุโสขมวดคิ้วพลางจ้องมองดูหลี่ผู่ หลังจากนั้นครู่ใหญ่จึงกล่าวช้าๆ ว่า “ดูเหมือนว่าชะตาฉันยังไม่ถึงฆาตนะ หนุ่มน้อยแสดงฝีมือความสามารถได้เลย”

  

เมื่อเห็นคุณปู่จะถอดเสื้อผ้าออกจริงๆ เด็กสาววิตกกังวลร้อนใจขึ้นมา รีบเข้าไปขัดขวางพูดว่า “คุณปู่ เรื่องนี้แบบนี้เชื่อไม่ได้นะ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนักต้มตุ๋นคนหนึ่ง คิดต้องการตีสนิทใกล้ชิดตระกูลโจวพวกเรา คุณปู่อย่าได้หลงกลเลยนะ”

  

“เวลาของฉันเหลือไม่มากแล้ว ทดลองดูสักคราจะเป็นไรไปล่ะ?” โจวอู่ฉู้กล่าวเสียงเรียบๆ

  

เด็กสาวพูดเสียงดังลั่น “คุณปู่อย่าไปหลงกลเลย ต่อไปถ้าเขาอาศัยชื่อเสียงของคุณปู่ไปก่อเรื่องสร้างปัญหาวุ่นวายข้างนอก จะทำให้ชื่อเสียงอันดีงามตลอดชีวิตคุณปู่ต้องเสื่อมเสียได้นะ”

  

“ฉันมีชื่อเสียงอะไรกัน” โจวอู่ฉู้พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกคุณประเมินตัวเอง และตระกูลโจวพวกเราจนสูงส่งมากเกินไปแล้ว อีกอย่างจะว่าไปแล้ว ถ้าหากเขาเป็นนักต้มตุ๋นคนหนึ่งจริงๆ พวกคุณยังไม่สามารถจัดการกับเขาอีกหรือ?”

  

เด็กสาวพูดไม่ออกทันใด ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับคุณปู่อีก กลับพุ่งเป้าไปทางหลี่ผู่แล้ว เธอตวาดว่า “แกไสหัวไปเลย เดี๋ยวนี้ทันทีเลยนะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel