บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 ความเข้าใจผิดพลาด

  

หัวใจหลานเยว่สะดุดเกร็งขึ้นมาวูบ  ร่างกายผนึกค้างแข็งทื่อทันใด  คล้ายดั่งต้องมนต์สะกดจนแน่นิ่งไปแล้วก็ปาน  รักษาท่าทางก้มตัวลงเอาไว้  อยู่สงบนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย    

  

ช่วงเวลานี้ช่างมาถึงรวดเร็วขนาดนี้หรอ  ฉันสมควรทำอย่างไรดี? 

  

จะปฏิเสธอย่างสุภาพนิ่มนวล  หรือจะยินยอมกึ่งต่อต้านไม่เต็มใจ  หรือว่าดุด่าตำหนิเขาอย่างแข็งกร้าวด้วยความชอบธรรมรอบหนึ่ง?     

  

ชั่วพริบตาเดียว  ภายในใจหลานเยว่เกิดความคิดขึ้นมาแล้วหลากหลายนับไม่ถ้วน   

  

แต่มือของหลี่ผู่ได้บรรลุถึงบริเวณหน้าอกของเธอแล้ว  หยิบเบาๆ คราหนึ่งบนปกเสื้อ  ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า  “มีเส้นผมอยู่เส้นหนึ่ง  อย่าได้ทำหล่นลงในจาน”     

  

หลานเยว่แอบลอบถอนหายใจยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง  ร่างกายที่ตึงเครียดจึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย   

  

เธอได้แต่พูดตะกุกตะกักว่า  “ขออภัยด้วยเจ้านาย  ฉัน ฉันผมร่วงมากอยู่บ้างเล็กน้อยในช่วงนี้”     

  

“ไม่เป็นไร”  หลี่ผู่พูดอย่างไม่ใส่ใจ  จากนั้นก็เริ่มทานพาสต้าซอสเนื้อมะเขือเทศจานนี้อย่างเอร็ดอร่อย

  

หลานเยว่ยืนตัวตรงหัวใจเต้นแรงมิหยุดหย่อน  ไม่รู้ว่าลำดับต่อไปตนสมควรพูดอะไรดี  และสมควรทำยังไงบ้าง      

  

หลี่ผู่ทานไปได้สองคำ  แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นพูดอย่างกะทันหันว่า  “รสชาติอร่อยมาก  เธอกินแล้วหรือยัง?”     

  

“ฉัน  ฉันยังไม่ได้กินเลยค่ะ”  หลานเยว่ตอบ    

  

“รีบไปทำให้ตัวเองสักชุด  ฝีมือทำอาหารของเธอไม่เลวเลยจริงๆ”  หลี่ผู่กล่าวชื่นชมขึ้นแล้วอีกคำหนึ่ง       

  

หลานเยว่พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง  เร่งรีบเข้าไปในห้องครัวแล้ว  หลี่ผู่จ้องมองดูเงาหลังของหลานเยว่พร้อมกับยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง      

  

ไม่นานนัก  หลานเยว่ก็ทำบะหมี่ให้ตัวเองชามหนึ่งแล้วเช่นกัน  ทั้งสองทานอย่างเงียบๆ จนเสร็จสิ้น   

  

หลังจากเก็บชามตะเกียบเรียบร้อยแล้ว  หลานเยว่ก็ได้มานั่งอยู่ข้างๆ หลี่ผู่  บริเวณตรงที่ชุดนอนไม่สามารถปกปิดได้  ขาเรียวยาวขาวนวลเนียนราวหิมะคู่หนึ่งช่างสะดุดตาดึงดูดความสนใจยิ่งนัก     

  

หลี่ผู่ดื่มน้ำชาคำหนึ่งแล้วถามว่า  “เรื่องของเหิงไท่ กรุ๊ป  จัดการไปถึงไหนแล้ว?”    

  

“บ่ายวันนี้เซ็นสัญญาลงนามแล้วค่ะ”   

  

พูดถึงเรื่องงาน  หลานเยว่เหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคนทันที  กล่าววาจาอย่างชัดเจนตรงประเด็น     

  

“เงินจำนวนห้าพันล้านโอนให้เหิงไท่แล้ว  แต่บรรดากรรมการบริหารที่พวกเราส่งไป  ยึดครองตำแหน่งคณะกรรมการบริหารส่วนใหญ่ของเหิงไท่ไว้แล้ว  สัดส่วนผู้ถือครองหุ้นก็มากกว่าพวกเขา  ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน พวกเราก็สามารถควบคุมเหิงไท่ได้แล้ว”    

  

หลี่ผู่ผงกศีรษะพูดว่า  “จัดการได้ดีมาก”   

  

“ฉันได้กำชับกรรมการบริหารที่เข้าไปในเหิงไท่แล้ว  ให้พวกเขาใช้ข้ออ้างกำกับดูแลกองทุน  แอบลอบตรวจสอบบัญชีของเหิงไท่และรวบรวมหลักฐานไว้  พิจารณาดูจากสถานการณ์ทางการเงินของเหิงไท่แล้ว  พวกเขาจะต้องมีปัญหาแน่นอน”  หลานเยว่กล่าว          

  

หลี่ผู่จ้องมองดูหลานเยว่ด้วยสีหน้าประหลาด     

  

หมอนี่ไม่เพียงแต่คาดเดาเจตนาลึกซึ้งของเขาออก  ถึงกับยังเตรียมการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วอีกด้วย  ช่างเป็นทรัพยากรบุคคลซึ่งหาได้ยากคนหนึ่งจริงๆ    

  

หลานเยว่นั่งอยู่บนโซฟา  ท่าทางดูสงบนิ่งและมีความเชื่อมั่นใจมากเป็นอย่างมาก  แตกต่างจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละคนเลย     

  

หลี่ผู่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า  “ในเมื่อรู้ว่าเหิงไท่มีปัญหาแล้ว  ทำไมยังต้องร่วมลงทุนกับเขาอีกล่ะ?”      

  

“เจ้านาย  ปัญหาเช่นนี้ทุกบริษัทต่างล้วนมีอยู่ไม่มากก็น้อยทั้งสิ้น  นี่คือความลับที่เปิดเผยกันภายในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรม  ทุกคนต่างล้วนรู้ดีรู้อยู่แก่ใจ”     

  

หลานเยว่พูดขึ้นมาอย่างฉาดฉาน 

  

“แต่ด้วยพลังเงินทุนของคัยผู่  สามารถสนับสนุนให้เหิงไท่ก้าวข้ามผ่านวิกฤตการณ์ได้โดยสิ้นเชิง  อีกทั้งพัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว  และปัญหาเหล่านั้นที่ฉันกล่าวถึง  หลังจากการแทรกแซงเข้าร่วมทุนของพวกเราแล้ว  ก็สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เช่นกัน  แต่เพื่อทำตามข้อเรียกร้องของคุณ  ฉันได้เปลี่ยนแผนการเดิมก่อนหน้านี้แล้ว”        

  

หลี่ผู่ยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะกล่าวว่า  “เธอทำได้ดีมากเลย”  

  

“ขอบคุณเจ้านาย”  หลานเยว่ก้มศีรษะลงถ่อมตัวอย่างนอบน้อม        

  

“พรุ่งนี้เวลาแปดโมง  ส่งรถยนต์มาให้ฉันคันหนึ่ง”  หลี่ผู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา  หลานเยว่ดำเนินการอย่างไร้ที่ติ  จนไม่มีอะไรจะถามอีกแล้ว        

  

เมื่อหลานเยว่ได้ยินก็ถามทันทีว่า  “คุณมีข้อเรียกร้องอะไรสำหรับรถยนต์มั้ยคะ?”    

  

“พยายาอย่าทำตัวเป็นจุดสนใจ  ผมไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ศักดิ์ฐานะของฉัน  ต่อไปก็ไม่ต้องเรียกผมว่าเจ้านาย”  หลี่ผู่กล่าว      

  

หลานเยว่มองดูหลี่ผู่อย่างลำบากใจอยู่บ้าง  และถามว่า  “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกคุณอย่างไงคะ?”        

  

“เสี่ยวหลี่  หรือว่าคุณหลี่ก็ได้  เรียกได้ตามสบาย  เพียงแค่อย่าได้เรียกฉันว่าเจ้านาย”    

  

หลานเยว่พูดไม่ออกทันใด  เธอไหนเลยจะกล้าเรียกเขาว่าเสี่ยวหลี่  นี่ยังคิดจะทำงานต่อไปอีกไหมล่ะ      

  

ครุ่นคิดสักครู่แล้ว  หลานเยว่ลองเลียบเคียงถามขึ้น  “คุณเห็นว่า  ตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วยนั้นฉันเรียกคุณว่าเจ้านาย  ตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วยนั้นฉันเรียกขานคุณว่าคุณหลี่ ได้มั้ยคะ?”    

  

“ตกลง”  หลี่ผู่ตอบเห็นอย่างรวบรัดและถามว่า  “ผมพักอาศัยอยู่ที่ไหน?”      

  

หลานเยว่ได้ยินเช่นนี้  เธอกัดริมฝีปากแล้วกล่าวเสียงเบาๆ ว่า  “ชั้นล่างล้วนเป็นห้องพักรับรองแขก  ห้องชั้นบนสภาพค่อนข้างดีกว่า  ฉันก็พักอาศัยอยู่ชั้นบนเหมือนกัน”      

  

หลี่ผู่ยกยิ้มแล้วพูดว่า  “งั้นก็พักในห้องพักรับรองแขกเถอะ  เดิมก็คือชายโสดกับหญิงโดดเดี่ยวอยู่แล้ว”            

  

หลานเยว่สีหน้าแดงระเรื่อวูบกล่าวว่า  “ฉันจะพาคุณไป”      

  

หลี่ผู่ลุกขึ้น  ติดตามหลานเยว่มาถึงห้องพักรับรองแขกห้องหนึ่ง       

  

เมื่อมองดูแล้วคราหนึ่ง  หลี่ผู่ก็พูดกับหลานเยว่ว่า  “เอาล่ะ  เธอไปพักผ่อนเถอะ  ต่อไปไม่ต้องมาสนใจผม  เธอไปทำงานของเธอเถอะ”     

  

“รู้แล้วเจ้านาย  ราตรีสวัสดิ์”  หลานเยว่โค้งคำนับและขอตัว       

  

หลี่ผู่เดินสำรวจบริเวณโดยรอบห้องพักขนาดกว่าร้อยตารางเมตรแล้วรอบหนึ่ง  ก็เริ่มการฝึกฌานนั่งสมาธิอยู่ในห้องนั่งเล่น        

  

……

  

เวลาเจ็ดโมงเช้า  หลี่ผู่ลืมตาแล้วอย่างตรงเวลา  การฝึกฌานนั่งสมาธิมาคืนหนึ่ง  จิตสมาธิสดชื่นแจ่มใสนัก         

  

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว  เขามาถึงห้องนั่งเล่น  ก็เห็นหลานเยว่รอคอยเขาอยู่แต่แรกแล้ว      

  

“สวัสดีเจ้านาย”  หลานเยว่โค้งคำนับแสดงความเคารพ       

  

หลี่ผู่โบกมือคราหนึ่งกล่าวว่า  “ต่อไปไม่ต้องเกรงใจมากขนาดนี้  รู้สึกอึดอัดแปลกประหลาด”       

  

ท่าทางของหลานเยว่เรียบเฉย  หยิบกุญแจรถยนต์ออกมาแล้วพูดว่า  “เจ้านาย  รถของคุณอยู่ตรงประตูนั่นเอง”       

  

“Volkswagen นะเนี่ย  ดีเลย”  หลี่ผู่รับกุญแจมาแล้วพยักหน้า     

  

หลานเยว่พูดเสียงเบาๆ ว่า  “เป็นรถ Volkswagen Phaetonค่ะ”    

  

“Volkswagen Phaeton เหรอ?”  หลี่ผู่พูดด้วยความประหลาดใจ  “ราคารถคันนี้อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าหนึ่งล้านหรอกมั้ง?”         

  

“เป็นรุ่นท็อปของ Phaeton ราคาสองล้านห้าแสนหกหมื่น”  หลานเยว่ตอบ    

  

หลี่ผู่ขมวดคิ้วพูดว่า  “ฉันบอกเธอแล้วว่าพยายามอย่าทำตัวเป็นจุดสนใจไม่ใช่หรือ?”    

  

หลานเยว่รู้สึกหมดคำจะพูด  ทำไมเจ้านายคนนี้ดูเหมือนจะไม่ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง  และศักยภาพแท้จริงของกลุ่มสถาบันการเงินคัยผู่เลยแม้แต่น้อยนิด      

  

แน่นอนว่าคำพูดนี้เธอไม่กล้าพูดออกมาอยู่แล้ว  เพียงแต่พูดเบาๆ ว่า  “เจ้านาย  นี่คือรถยนต์เรียบง่ายที่สุดของบริษัทแล้วค่ะ”      

  

“เอาเถอะ”  หลี่ผู่สูดหายใจเข้าลึกๆ คำหนึ่งกล่าวว่า  “เธอไปจัดการธุระเถอะ  ไม่ต้องมาสนใจฉันแล้ว”          

  

หลานเยว่พยักหน้ากล่าวว่า  “ได้เลยค่ะเจ้านาย  สวัสดีค่ะ”    

  

พูดจบหลานเยว่ถือกระเป๋าก้าวเท้ามุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอก     

  

มองดูจากเงาหลัง  ในชุดเครื่องแบบทำงานสีน้ำเงินเข้มรัดรูปนั้น  แสดงให้เห็นถึงรูปร่างอันอวบอิ่มสมบูรณ์  รองเท้าส้นสูงทำให้รูปร่างดูสูงเพรียวงามระหงมากยิ่งขึ้น  ระหว่างทรวดทรงองค์เอวขยับเคลื่อนไหวไปมา  เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาวเติบโตเต็มวัย  รูปร่างและบุคลิกภาพเช่นนี้ช่างงดงามยิ่งนักจนไร้ที่ติเลยทีเดียว     

  

หลี่ผู่ยิ้ม  จากนั้นก็เดินออกจากบ้านไปด้วยเช่นกัน  ขับ Volkswagen Phaeton มุ่งหน้าเข้าไปในเมือง    

  

แปดโมงเช้า  หลี่ผู่เพิ่งมาถึงประตูสำนักกิจการพลเรือน  ก็ได้รับโทรศัพท์จากหลิ่วเสี่ยวอวี่      

  

“แกมาแล้วหรือยัง  อย่าได้หลบหนีไปกลางคันเชียวนะ”  แว่วเสียงของหลิ่วเสี่ยวอวี่ที่ไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยนิดจากโทรศัพท์อีกด้านหนึ่งนั้น      

  

หลี่ผู่ล็อครถกล่าวเสียงเรียบๆ ขึ้นว่า  “มาถึงประตูทางเข้าแล้ว”     

  

เมื่อวางสายแล้วมาถึงประตูทางเข้า  ก็เห็นหลิ่วเสี่ยวอวี่กับหวังซื่อเจี๋ยกำลังรอคอยอยู่ตรงประตู

  

เมื่อได้เห็นหลี่ผู่มาตามคำนัดหมาย  ดูเหมือนว่าทั้งสองต่างล้วนหายใจโล่งอก  

  

หลี่ผู่ยิ้มพลางพูดว่า  “ไปกันเถอะ”   

  

หลิ่วเสี่ยวอวี่แค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง  นำหน้าเข้าไปข้างในก่อนแล้ว   

  

ไม่มีบุตรและไม่มีการแบ่งแยกทรัพย์สิน  ขั้นตอนดำเนินการจึงรวดเร็วมากเป็นอย่างยิ่ง    

  

ครึ่งชั่วโมงต่อมา  ทั้งสองก็ถือหลักฐานใบหย่า  เดินออกมาจากแผนกสำนักกิจการพลเรือน    

  

ณ บริเวณประตูใหญ่  หลิ่วเสี่ยวอวี่มุ่งหน้าไปทางหวังซื่อเจี๋ยเหมือนเช่นโอ้อวดก็ปาน  โบกสะบัดหลักฐานใบหย่าพลางกล่าวว่า  “ซื่อเจี๋ย  ฉันเป็นอิสระแล้ว”     

  

หวังซื่อเจี๋ยสวมกอดหลิ่วเสี่ยวอวี่ไว้ภายในอ้อมอก  ทั้งสองกอดจูบกันอย่างดูดดื่มขึ้นมา     

  

หลี่ผู่เห็นแล้วรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาวูบ  แต่เขาก็ยังคงยิ้มละไมกล่าวว่า  “เธอเป็นอิสระแล้ว  ตอนนี้พวกคุณทั้งสองสามารถเข้าไปจดทะเบียนสมรสอีกครั้งแล้ว”    

  

“ไม่ต้องแกมายุ่ง”  หลิ่วเสี่ยวอวี่มองดูหลี่ผู่อย่างรังเกียจพูดว่า  “ฉันกับซื่อเจี๋ยจะจัดงานพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตมโหฬารรอบหนึ่ง  เชื้อเชิญคนดังทั้งหมดในเมืองซีจิงมาร่วมงานเป็นสักขีพยาน  หลังจากนั้นค่อยไปจดทะเบียนสมรส  เศษสวะอย่างแกรีบไสหัวไปนะ”             

  

“อย่างนั้นหรือ?  เมื่อถึงเวลานั้นอย่าได้หน้าแตกยับเยินแล้วล่ะ”  หลี่ผู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้   

หวังซื่อเจี๋ยโกรธโมโหขึ้นมาทันที  พุ่งทะยานมาถึงตรงหน้าหลี่ผู่และตวาดว่า  “เจ้าหมอนี่ แกอยากรนหาที่ตายงั้นหรอ?”    

  

ในเวลาเดียวกัน  บอดี้การ์ดสองคนของหวังซื่อเจี๋ยก็พุ่งทะยานเข้ามา  พากันล้อมรอบหลี่ผู่เอาไว้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel