บทที่ 12 คิดไปเอง
หลี่ผู่เอ่ยเสียงเรียบๆ ว่า “ถึงเวลามอบของขวัญชิ้นใหญ่แล้ว ควรทำยังไงก็ทำอย่างนั้นเถอะ”
“ทราบแล้วค่ะ เจ้านาย พวกเขาจะต้องชดใช้อย่างแน่นอน” หลานเยว่พูดช้าๆ
หลี่ผู่ยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “รีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันจะไปเอง”
“ทราบแล้วค่ะ เจ้านาย”
หลี่ผู่ลุกขึ้นกลับเข้าห้องของตัวเองแล้ว
หลานเยว่มองดูเงาหลังของหลี่ผู่ แล้วถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ถ้าเธอเจอความไม่เป็นธรรม และความอัปยศอดสูอย่างนี้ เธอจะต้องแก้แค้นกลับคืนนับร้อยนับพันเท่าอย่างแน่นอน เจ้านายยังใจดีเกินไปแล้ว ทว่าเธอนั้นไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาหรอกนะ การปฏิบัติต่อศัตรูนั้น เธอก็ไม่เคยออมมือมาก่อนเช่นกัน
……
วันรุ่งขึ้น
เวลาประมาณสิบโมงกว่า หลี่ผู่ลืมตาขึ้น ออกจากคฤหาสน์แล้วขับรถมุ่งหน้าสู่เกาะรีสอร์ทหนานหูทันที
วันนี้ถึงเวลาทำให้มันสิ้นสุดลงแล้ว
และในเวลาเดียวกันนี้ รถออฟโรดคันหนึ่งมาถึงประตูคฤหาสน์เลขที่หนึ่ง
ชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ก้าวลงจากเบาะหลังของรถ
ถึงแม้เขาจะสวมชุดเสื้อผ้าปกติ แต่รูปร่างที่ตรงประหนึ่งทวนนั้น แวบเดียวก็สามารถมองออกว่าเป็นทหารนายหนึ่ง
ชายวัยกลางคนก้าวไปข้างหน้าแล้วกดกริ่งประตู โจวรั่วหนานเปิดประตูออกมอง แล้วพูดขึ้นอย่างยินดีว่า “พ่อ ในที่สุดพ่อก็กลับมาแล้ว”
“อืม คุณปู่ของลูกล่ะ” ชายวัยกลางคนถามขึ้น
โจวรั่วหนานขมวดคิ้วพูดว่า “ตลอดทั้งวันเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ทำตัวลึกลับมาก ถูกนักต้มตุ๋นคนนั้นวางยาแล้วจริงๆ”
“ร่างกายคุณปู่เป็นยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนถามขึ้นอีก
โจวรั่วหนานตอบทันทีว่า “คุณปู่กินยาสารชีวภาพที่เมืองหลวงส่งมา ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นมากแล้ว เมื่อวานสถาบันวิจัยของพวกเราเพิ่งจะตรวจทั้งร่างกายอย่างละเอียด บอกว่าทั้งร่างกายโดยรวมล้วนดีขึ้นแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว พ่อจะไปสั่งสอนนักต้มตุ๋นคนนั้นก่อน ชื่อเสียงของตระกูลโจว ไม่ใช่ใครจะมาหาประโยชน์ได้” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเย็นชา
โจวรั่วหนานพยักหน้าซ้ำๆ พูดว่า “ใช่แล้วค่ะ จะต้องสั่งสอนนักต้มตุ๋นคนนั้นให้หนัก มิฉะนั้นต่อไปก็จะมีคนหมายตาคุณปู่ได้อีก”
เวลานี้ชายวัยกลางคนหันหลังกลับ สั่งคนขับรถว่า “ติดต่อนักต้มตุ๋นคนนั้น บอกว่าฉันต้องการพบเขา”
“ครับ” คนขับรถเริ่มโทรศัพท์ทันที ไม่นานคนขับรถก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “เขาบอกว่ากำลังเข้าร่วมงานแต่งงานที่เกาะรีสอร์ทหนานหู ถ้าท่านต้องการพบเขา ให้ท่านไปหาเขาเองครับ”
“เจ้าหมอนี่ช่างจองหอง” สีหน้าชายวัยกลางคนเย็นชาทันที พูดขึ้นช้าๆ ว่า “อยู่ต่อหน้าฉันโจวกงเผย ยังคิดจะเล่นลูกไม้ที่คาดเดายากอีก งั้นเขาก็คิดผิดแล้ว ไปที่เกาะรีสอร์ทหนานหูเลย”
โจวกงเผยขึ้นรถ คนขับรถรีบมุ่งหน้าออกไปข้างนอกทันที
โจวรั่วหนานถอนหายใจยาวๆ ออกมาทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ไอ้นักต้มตุ๋น แล้วแกจะได้เห็นดีแน่ รอก่อนเถอะ”
พูดจบเธอก็กลับถึงคฤหาสน์ มาถึงตรงประตูห้องของคุณปู่ ยืนครู่หนึ่งแล้วจึงตะโกนเรียก “คุณปู่ ได้เวลามาออกกำลังกายแล้ว วันนี้คุณปู่ยังไม่ได้ออกจากห้องเลย”
ภายในห้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ โจวรั่วหนานจึงได้แต่เรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถึงแม้ร่างกายของคุณปู่จะดีขึ้นแล้ว แต่การออกกำลังกายก็ยังคงจำเป็นไม่อาจขาดได้อยู่ดี
ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว โจวอู่ฉู้จึงเปิดประตูออก แล้วจ้องมองโจวรั่วหนานอย่างรำคาญพูดว่า “แกไม่เบื่อบ้างเหรอ ให้ฉันมีอิสระหน่อยได้ไหม?”
“คุณปู่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อร่างกายของคุณปู่ คุณปู่จะดื้ออย่างนี้ไม่ได้นะคะ” โจวรั่วหนานกล่าว
โจวอู่ฉู้แค่นเสียงตอบว่า “ร่างกายฉันนั้นฉันเองเข้าใจดี ต้องให้แกมาจู้จี้จุกจิกด้วยเหรอ ตอนนี้แกทำแบบนี้ เท่ากับยั่วโมโหฉันให้ตายนั่นเอง”
“ทำไมคุณปู่พูดแบบนี้ล่ะ” โจวรั่วหนานพูดอย่างน้อยใจ “ถ้าไม่ใช่เมืองหลวงห่วงใยคุณปู่ พวกเราคอยดูแลเอาใจใส่คุณปู่ สุขภาพของคุณปู่จะดีขึ้นได้เหรอคะ”
โจวอู่ฉู้แค่นเสียงบอกว่า “คิดว่าเป็นความดีความชอบของพวกแกแล้วสินะ คิดไปเองทั้งนั้น”
“หรือว่าไม่ใช่ล่ะคะ?” โจวรั่วหนานก็โกรธเคืองอยู่บ้างแล้วพูดว่า “คุณปู่เองน่าจะเข้าใจ ร่างกายของคุณปู่ถึงขีดจำกัดแล้ว ทั้งหมดล้วนพึ่งตัวยาประคองไว้ ถ้าหากไม่ใช่เมืองหลวงส่งยาสารชีวภาพมาให้ คุณปู่จะยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วันล่ะ และหนูก็ละทิ้งการเรียนมาอยู่บ้านคอยดูแลคุณปู่ หรือว่าไม่ได้ผลเลยสักนิด?”
โจวรั่วหนานพูดไปพูดมา ร้องไห้ขึ้นมาอย่างน้อยใจแล้ว
เธอรู้สึกว่าตอนนี้คุณปู่แก่จนเลอะเลือนแล้วจริงๆ ตนเองคอยดูแลด้วยความห่วงใยมานานหลายปี กลับไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แต่คำพูดเพียงไม่กี่คำของนักต้มตุ๋นคนนั้น ก็กล่อมคุณปู่จนอยู่หมัดแล้ว ตลอดทั้งวันหมกตัวอยู่แต่ในห้องฝึกวิชาผีสางอะไรนั่น เธอยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ในที่สุดอดร้องไห้โฮดังลั่นออกมาไม่ได้แล้ว
เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของหลานสาวแล้ว โจวอู่ฉู้ถอนหายใจทีหนึ่งแล้วกลับเข้าไปในห้อง หยิบยาสารชีวภาพจากตู้ใส่รองเท้าแล้วเดินมาถึงตรงหน้าหลานสาว
จากนั้นโยนยาลงแทบเท้าของหลานสาว โจวอู่ฉู้พูดช้าๆ ขึ้นว่า “ดูเอาเถอะ นี่ก็คือประสิทธิภาพของยาสารชีวภาพที่แกพูดถึง”
โจวรั่วหนานสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง เช็ดน้ำตาพลางจ้องมองคุณปู่อย่างตะลึงงัน
โจวอู่ฉู้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนโจวรั่วหนานค่อยๆ หยิบยาสารชีวภาพขึ้นแล้วเปิดออกดู
ยาที่อยู่ในนั้นยังวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน
“คุณปู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” โจวรั่วหนานถามขึ้นอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ
โจวอู่ฉู้ถอนหายใจกล่าวว่า “ฉันเบื่อกับการกินยาไม่จบไม่สิ้นแต่แรกแล้ว ยาสารชีวภาพนี้ฉันไม่เคยกินมาก่อนแม้แต่คำเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว?” โจวรั่วหนานถามด้วยความตกใจ “ถ้าอย่างนั้นแล้วร่างกายของคุณปู่?”
โจวอู่ฉู้มองดูหลานสาวแล้วขมวดคิ้วถามว่า “ยังเข้าใจไม่ชัดเจนอีกเหรอ ผลรายงานตรวจร่างกายของฉันบอกว่ายังไงล่ะ?”
โจวรั่วหนานพูดตะกุกตะกักขึ้นว่า “พวกเขาบอกว่าการชี้วัดต่างๆ ล้วนบ่งบอกว่าร่างกายของคุณปู่ดีขึ้นแล้ว แม้แต่ แม้แต่พังผืดในปอดก็กำลังฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แกยังคิดว่า เป็นประสิทธิภาพของยาสารชีวภาพอีกเหรอ?” โจวอู่ฉู้ถาม
ตุ้บ
ยาสารชีวภาพภายในมือร่วงหล่นลงบนพื้น โจวรั่วหนานอ้าปากจนค้างแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
โจวอู่ฉู้ส่ายหน้ากล่าวว่า “พวกแกเนี่ยนะ อายุน้อยๆ ก็ทึกทักเอาเองว่าตัวเองนั้นถูกต้อง คิดว่าตัวเองล่วงรู้ไปหมดทุกอย่าง น่าเสียดายโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก ประกอบด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมายไม่มีสิ้นสุด ประเทศต้าเซี่ยพวกเรามียอดคนมหัศจรรย์มากมาย เมื่อไรพวกแกจะใจกว้างมากขึ้นอีกหน่อย อย่าเอาแต่ใช้อคติส่วนตัวมองคนอื่นสิ”
โจวรั่วหนานตะลึงงันแล้ว ผ่านไปนานจึงถามว่า “คุณปู่ คงไม่ใช่ว่า เป็นเคล็ดวิชาที่หมอนั่นสอนคุณปู่ เลยทำให้ร่างกายของคุณปู่ดีขึ้นจริงหรอกมั้ง?”
“ถ้าอย่างนั้นแกคิดว่ายังไงล่ะ? โจวอู่ฉู้ถาม
โจวรั่วหนานพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิงแล้ว เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นความจริง
แต่คุณปู่ไม่ได้กินยาสารชีวภาพเลย สุขภาพของคุณปู่ก็ดีขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ แต่ความจริงอันนี้ทำให้เธอไม่เชื่อไม่ได้
เวลานี้ภายในใจเธอเกิดความขัดแย้งอย่างถึงที่สุดแล้ว
ผ่านไปนาน เธอจึงเงยหน้าขึ้นพูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “คุณปู่ เมื่อครู่นี้คุณพ่อเพิ่งจะกลับมาแล้ว”
“เขาไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ประจำการตำแหน่งให้ดีๆ วิ่งแจ้นกลับมาทำไมล่ะ” โจวอู่ฉู้พูดอย่างไม่สบอารมณ์
ชั่วขณะนั้นโจวรั่วหนานไม่กล้าพูด แต่ก็ไม่กล้าปิดบังเช่นกัน ได้แต่พูดเสียงเบาว่า “เขาไปคิดบัญชีกับหลี่ผู่คนนั้นแล้ว”
“อะไรนะ?” โจวอู่ฉู้โมโหขึ้นยกใหญ่แล้วพูดว่า “ใครให้พวกแกทำแบบนี้?”
โจวรั่วหนานรีบพูดว่า “คุณปู่ คุณปู่ฟังหนูอธิบายก่อน หนูคิดว่าหลี่ผู่เป็นนักต้มตุ๋นคนหนึ่ง ที่คิดอาศัยชื่อเสียงตระกูลโจวของพวกเรา เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอันซ่อนเร้นของเขา ดังนั้นหนูเลยเรียกคุณพ่อกลับมาแล้ว”
“สารเลว” โจวอู่ฉู้พูดอย่างโมโหว่า “แกรีบไปตามพ่อแกเดี๋ยวนี้เลย พวกแกสองคนต้องขอโทษหลี่ผู่ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ได้รับการยกโทษจากเขา พวกแกก็ไสหัวออกไปจากตระกูลโจวได้เลย ฉันไม่มีลูกหลานอย่างพวกแกนี้”
โจวอู่ฉู้พูดพลางโมโหจนไอขึ้นมาอย่างรุนแรงแล้ว
โจวรั่วหนานตกใจจนสะดุ้งโหยงแล้ว รีบประคองคุณปู่เอาไว้บอกว่า “หนูจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ คุณปู่อย่าได้โมโหอีกเลย”
“ยังไม่รีบไปอีก” โจวอู่ฉู้ตวาดอย่างโกรธเคือง
โจวรั่วหนานไม่กล้าฝ่าฝืน รีบเรียกแม่บ้านมาคอยดูแลคุณปู่ ส่วนตัวเองออกจากบ้านขับรถมุ่งหน้าไปยังเกาะรีสอร์ทหนานหูแล้ว
อยู่บนรถเธอโทรศัพท์หาคุณพ่อทันที แต่โทรศัพท์สายไม่ว่างอยู่ตลอด