บทที่ 11 ขอบคุณเจ้านาย
หลานเยว่สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง นึกถึงตอนนั้น โจวอู่ฉู้ก็เป็นบุคคลที่มักปรากฏตัวอยู่ในข่าวโทรทัศน์เช่นกัน มิน่าถึงดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง
“เขานั่นเอง?” หลานเยว่พูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อเล็กน้อย
หลี่ผู่พยักหน้าเรียบๆ หลานเยว่ขมวดคิ้วพูดว่า “สถานะของท่านโจวไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าหลานสาวของเขาอคติต่อคุณมากเลยทีเดียว”
“ไม่ต้องไปสนใจเธอ” หลี่ผู่บอก
หลานเยว่พยักหน้าเงียบๆ พร้อมกับบอกว่า “เจ้านาย ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว และวันนี้ฉันก็ได้รับเชิญไปร่วมในงานแต่งของหวังซื่อเจี๋ยกับหลิ่วเสี่ยวอวี่ด้วยค่ะ”
“งั้นเหรอ” หลี่ผู่พูดเรียบๆ ว่า “มีเธอคอยจัดการฉันก็วางใจแล้ว”
หลานเยว่พูดต่อ “ฉันจะทำให้พวกเขาต้องเซอร์ไพรส์ในพิธีแต่งงาน คุณคิดว่าแบบนี้ดีหรือเปล่า?”
“ยิ่งเซอร์ไพรส์ยิ่งดี” คิดถึงทุกอย่างที่หลิ่วเสี่ยวอวี่ทำต่อตัวเองแล้ว หลี่ผู่พูดขึ้นช้าๆ
หลานเยว่พยักหน้า เธอมองดูเหล้าที่ยังดื่มไม่หมด แล้วแอบมองหลี่ผู่แวบหนึ่งถามเสียงเบาขึ้นว่า “เจ้านาย ต้องการให้ฉันดื่มเป็นเพื่อนคุณหน่อยไหมคะ?”
“เธอดื่มเหล้าได้ด้วย?” หลี่ผู่ถามยิ้มๆ
หลานเยว่สีหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยพูดว่า “ดื่มได้นิดหน่อย”
เมื่อหลี่ผู่ได้ยิน จึงรินเหล้าให้หลานเยว่แก้วหนึ่ง แล้วพูดว่า “ยังไม่ได้ดื่มให้เต็มที่เลยจริงๆ”
หลานเยว่ยกแก้วเหล้าขึ้นชนแก้วกับหลี่ผู่ ทั้งสองดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
ต่อมาทั้งสองดื่มไปพลางสนทนาไปพลาง ไม่นานก็ดื่มเหล้าที่โจวอู่ฉู้นำมาจนหมดแล้ว
หลานเยว่เหมือนอดใจไม่ไหวอยู่บ้าง ไปหยิบเหล้าในตู้เก็บเหล้าออกมาอีกหนึ่งขวด แล้วเปิดออกโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ
หลี่ผู่หัวเราะเหอะๆ มองดูหลานเยว่รินเหล้าให้ตัวเอง ทั้งสองดื่มกันต่อขึ้นมาแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า หลี่ผู่มองดูหลานเยว่ที่นอนอยู่บนโซฟาอย่างเงียบงัน ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ถ้าดื่มไม่ได้ก็ดื่มให้น้อยหน่อย แบบนี้แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง?”
ภายใต้ความจำใจ เขาได้แต่อุ้มหลานเยว่ที่หมดสติขึ้นมา เดินขึ้นไปชั้นบน
ร่างกายของหลานเยว่มีกลิ่นหอมของผู้หญิง และเสน่ห์เย้ายวนใจเฉพาะตัวของหญิงสาวเต็มวัย ทุกสิ่งล้วนกำลังท้าทายทั้งร่างกายและจิตใจของหลี่ผู่ทั้งนั้น
ในที่สุดหลี่ผู่ก็ส่งหลานเยว่เข้าไปถึงห้อง และช่วยห่มผ้าให้เธอ แล้วเขาก็เร่งรีบลงไปชั้นล่างโดยไม่ลังเลใจแม้แต่เพียงครู่เดียว
หลังจากหลี่ผู่จากไปแล้ว หลานเยว่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองดูประตู แล้วพึมพำขึ้นอย่างข้องใจว่า “หรือว่าเสน่ห์ของฉัน ยังไม่มากพอ?”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลังจากหลี่ผู่ตื่นแล้ว เขารออยู่ในห้องสักพักหนึ่ง รอจนกระทั่งหลานเยว่จากไปแล้ว เขาจึงออกมาจากห้อง
เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วยังรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง เขาไม่กล้าเผชิญหน้าหลานเยว่อยู่บ้างเล็กน้อย
ถึงอย่างไรคนเป็นเจ้านายกรอกเหล้าลูกน้องผู้หญิงจนเมามายนั้น เรื่องแบบนี้เหมือนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีงามสักเท่าไร
ทำอาหารเช้าให้ตัวเองกินเสร็จแล้ว เขาไปฝึกฝนร่างกายในสวนสาธารณะแล้ว
ขณะเดียวกันภายในคฤหาสน์เลขที่หนึ่ง โจวรั่วหนานยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องคุณปู่ ขอร้องขึ้นว่า “คุณปู่ วันนี้คุณปู่ต้องไปตรวจร่างกายนะ คุณปู่เปิดประตูออกมาเถอะ”
ไม่มีคำตอบจากภายใน โจวรั่วหนานได้แต่เรียกให้เปิดประตูครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากผ่านไปนาน โจวอู่ฉู้ที่กำลังหายใจเข้าออกฝึกฌานบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้อง ถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วเปิดประตูออกมาแล้ว
เขารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในคุก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลานสาวของตน เขาก็ไม่สามารถบันดาลโทสะออกมาได้ จึงได้แต่เงียบ
ทันทีที่โจวรั่วหนานเห็นคุณปู่ออกมาแล้ว ก็รีบบอกว่า “คุณปู่ สถาบันวิจัยของพวกเราต่างกำลังรอคอยคุณปู่อยู่นะ”
“เฮ้อ ไปกันเถอะ” โจวอู่ฉู้รู้ว่าถ้าตนไม่ไป จะต้องไม่จบไม่สิ้นอย่างแน่นอน เขาจึงได้แต่รับปาก
โจวรั่วหนานประคองคุณปู่ออกไปข้างนอกพลางถามว่า “คุณปู่ ยาสารชีวภาพนั้นคุณปู่กินตรงเวลาแล้วใช่ไหมคะ?”
“กินอยู่ไง” โจวอู่ฉู้ตอบเสียงเรียบๆ
แต่ความจริงยานั้นถูกเขาโยนเข้าไปในตู้ใส่รองเท้าแล้ว ตอนนี้ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น
โจวรั่วหนานพยักหน้าซ้ำๆ ขับรถพาคุณปู่ไปถึงสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดำเนินการตรวจสอบสิ่งที่เกี่ยวข้องชุดหนึ่ง
หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว หมอจ้าวพูดกับโจวรั่วหนานว่า “ถ้าช่วงบ่ายผลลัพธ์โดยละเอียดออกมาแล้ว ฉันจะโทรหาเธอ”
“ขอบคุณค่ะหมอจ้าว” โจวรั่วหนานแสดงความขอบคุณ จากนั้นส่งคุณปู่กลับบ้าน
ส่วนโจวอู่ฉู้ทันทีที่กลับถึงบ้าน ก็กลับเข้าไปในห้องตัวเอง แล้วเริ่มฝึกฌานบำเพ็ญเพียรต่อไป
โจวรั่วหนานเริ่มรอคอยด้วยความกังวล อาการป่วยของคุณปู่ร้ายแรงมาก พวกเขาล้วนรู้ดี
ตอนนี้อาการดีขึ้นหรือไม่นั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับยาสารชีวภาพตัวนี้แล้ว
จนกระทั่งประมาณบ่ายสองกว่า ในที่สุดหมอจ้าวก็โทรมาแล้ว
หมอจ้าวบอกเธออย่างดีใจว่า ร่างกายของคุณปู่กำลังดีขึ้น ตลอดจนพังผืดบริเวณปอดก็เริ่มดีขึ้นแล้ว ช่างเป็นเรื่องปาฏิหาริย์จริงๆ
หลังจากพูดเรื่องสภาพร่างกายแล้ว หมอจ้าวย้ำอีกครั้งว่า ให้คุณปู่ทานยาอย่างต่อเนื่อง ประสิทธิภาพจะดีมากยิ่งขึ้น
โจวรั่วหนานรับปากต่อเนื่องด้วยสีหน้ายินดี หลังจากวางสายแล้ว เธอถอนหายใจยาวๆ ออกมาทีหนึ่ง
ตามที่หมอจ้าวกล่าวมา ร่างกายของคุณปู่กำลังดีขึ้น สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปีอย่างไร้ปัญหา เรื่องนี้สำหรับตระกูลโจวแล้ว เป็นข่าวดีมากเลยทีเดียว
แต่ทันทีที่นึกถึงนักต้มตุ๋นคนนั้น เธอก็โกรธเคืองจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมาแล้วทันที
คนแบบนี้เธอเห็นมามากแล้ว
ตระกูลโจวของพวกเขามีอิทธิพลที่ไม่อาจเทียบได้ในประเทศ ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการตีสนิทพวกเขา เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อันซ่อนเร้น
คุณปู่เคยบอกพวกเขาแต่แรกแล้ว จะต้องระวังคนพวกนี้เอาไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาใช้ชื่อเสียงของตระกูลโจว ไปกระทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ หรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว
แต่ตอนนี้คุณปู่แก่จนเลอะเลือนแล้วอย่างเห็นได้ชัด หลงเชื่อนักต้มตุ๋นคนนั้นมากถึงขนาดนี้ แม้แต่คำพูดที่ตัวเองเคยพูดก็ลืมจนหมดสิ้นแล้ว
นึกถึงเรื่องนี้แล้ว โจวรั่วหนานก็อดที่จะโทรศัพท์หาพ่ออีกครั้งไม่ได้
“พ่อคะ พ่อจะกลับมาเมื่อไร? ตอนนี้นักต้มตุ๋นคนนั้นยุยงให้คุณปู่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่แล้ว ช่างน่าเกลียดจริงๆ”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นข้องอยู่บ้างว่า “ส่งข้อมูลของคนคนนี้ให้พ่อ พ่อจะกลับไปพรุ่งนี้”
“ได้ค่ะ พ่อรีบกลับมาหน่อยนะ ตอนนี้คุณปู่เชื่อแต่เขาเท่านั้น”
หลังจากวางสาย โจวรั่วหนานก็ส่งหมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ รวมทั้งรูปถ่ายของหลี่ผู่ไปให้พ่อแล้ว
หลังจากนั้นเธอกัดฟันกรอดบอกว่า “แกรอไว้เถอะ ดูว่าพ่อฉันจะจัดการกับแกยังไง เจ้านักต้มตุ๋นขยะสังคมเอ๊ย”
……
ช่วงเวลา 17.00 น.
หลี่ผู่เสร็จสิ้นการฝึกฌานนั่งสมาธิล่วงหน้า ออกจากบ้านมาถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตและซื้อวัตถุดิบส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นกลับมาก็ยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัวแล้ว เอาแต่ให้หลานเยว่ทำอาหารให้ตัวเองกินตลอด เขาเองก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างแล้ว
ช่วงเย็น หลานเยว่เลิกงานกลับมาถึงคฤหาสน์แล้ว เมื่อเห็นหลี่ผู่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัว เธอก็ปิดปากตัวเองเอาไว้ด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้นพักหนึ่ง เธอจึงรีบเร่งมาถึงห้องครัวพูดว่า “เจ้านาย เรื่องเหล่านี้มอบให้ฉันทำก็ได้แล้ว จะให้คุณทำอาหารได้ยังไงกัน”
“อยู่ว่างๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร อีกอย่างจะว่าไปแล้ว คอยให้เธอทำอาหารให้ฉันตลอด ไม่เหมาะเท่าไร วันนี้ลองชิมฝีมือของฉันดูบ้างนะ”
หลี่ผู่พูดพลางยกอาหารหลายจาน วางลงบนโต๊ะอาหาร
“ขอบคุณค่ะเจ้านาย งั้นฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
หลานเยว่ราวกับนกกระจอกเริงร่าตัวหนึ่ง ขึ้นไปข้างบนอย่างมีความสุข เปลี่ยนเป็นชุดนอนลูกไม้ตัวหนึ่งแล้วลงมา
ชุดนอนปกปิดได้อย่างพอดี แต่ระหว่างการเคลื่อนไหวยังคงเปิดเผยให้เห็นต้นขาสีขาวราวหิมะของเธอ ชวนให้ผู้คนครุ่นคิดอย่างเตลิดเปิดเปิง
หลี่ผู่ยิ้มทีหนึ่งพูดว่า “กินข้าวกันเถอะ”
หลี่ผู่ตักข้าวใส่ชามสำหรับสองคน แล้วคีบกับข้าวกินขึ้นมาแล้ว วันนี้เป็นอาหารจีนที่เขาตั้งใจปรุงขึ้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
หลานเยว่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ชมฝีมือทำอาหารของหลี่ผู่ไม่หยุดปาก อาหารประจำบ้านอย่างง่ายๆ หลายจาน หลานเยว่เหมือนได้กินอาหารล้ำเลิศแล้ว โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตัวเองแม้แต่น้อย
หลี่ผู่เองก็กินข้าวแล้วสามชามเช่นกัน หลังจากกินอิ่มแล้วทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม หลานเยว่ถึงกับหัวเราะจนล้มตัวลงนอนบนโซฟา เผยขาเรียวยาวสีขาวราวกับหิมะ ยังมีส่วนที่เลือนรางแต่ชัดเจนนั้น คอยดึงดูดความสนใจให้หลี่ผู่ทำผิดอยู่ร่ำไป
ทว่าสุดท้ายหลี่ผู่เพียงแค่พูดเบาๆ ว่า “รบกวนเธอล้างจานด้วยนะ”
หลานเยว่นั่งตัวตรงพร้อมด้วยสายตาตัดพ้อ จัดการเก็บตะเกียบถ้วยชามจนเรียบร้อย หลังจากนั้นเข้ามานั่งลงข้างๆ หลี่ผู่พูดขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้านายคะ พรุ่งนี้ก็คือวันแต่งงานของหวังซื่อเจี๋ยกับหลิ่วเสี่ยวอวี่แล้ว”