บท
ตั้งค่า

บทที่ 10 ดื่มเหล้าด้วยกัน

  

หลานเยว่พยักหน้าพูดว่า  “กล่าวกันว่าปัญหาไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว”      

  

“อ้อ  ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปทำงานเถอะ  จัดการให้ดีก็ใช้ได้แล้ว”  หลี่ผู่พูดเสียงเรียบๆ      

  

หลานเยว่พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า  “ถ้าอย่างนั้นฉันไป  สวัสดีค่ะเจ้านาย”    

  

พูดจบหลานเยว่ก็ออกจากบ้านไปราวกับวิ่งหนี   

  

หลี่ผู่ยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง  ทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ให้ตัวเองกินรองท้อง  หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะที่อยู่ตรงกลางชุมชน    

  

เขาหาสถานที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่งภายในสวนสาธารณะ  สูดหายหายใจเข้าออกแล้วสองคำ  หลังจากนั้นก็สำแดงเพลงหมัดมวยกับท่าเท้า  กระหน่ำชกวิชาหมัดมวยไปชุดหนึ่ง  

  

แต่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นวิชาหมัดมวยจริงจัง  เป็นเพียงการเคลื่อนไหวสักสิบท่วงท่าเท่านั้น 

  

การเคลื่อนไหวสิบกว่าท่านั้น  แต่ละท่าล้วนยืดเส้นยืดสายร่างกาย  โค้งบิดงอจนถึงขั้นเหลือเชื่อ  และทำลายขีดจำกัดในแง่มุมของมนุษย์ไปแล้ว    

  

ด้วยลีลามากกว่าสิบท่วงท่าซึ่งทำลายความเข้าใจของมนุษย์  กลายเป็นเคล็ดวิชาแปลกประหลาดชุดหนึ่ง  หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง  ผันแปรเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีสิ้นสุด     

  

ครึ่งชั่วโมงต่อมา  หลี่ผู่หลั่งเหงื่อชุ่มโชกทั้งตัว  แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายปลอดโปร่งสุดเปรียบปาน  และสบายไปตลอดทั้งร่างกาย        

  

เหงื่อออกมากตรงหน้าผาก  หลี่ผู่เตรียมตัวจะกลับไปอาบน้ำ  หลังจากนั้นก็ฝึกฌานนั่งสมาธิต่อ     

  

เพิ่งจะมาถึงทางออกสวนสาธารณะ  ก็เห็นมีคนสองคนกำลังถือของขวัญเดินผ่าน   

  

พวกเขาทั้งสองก็พบเห็นเขาในเวลาเดียวกันพอดี  และรีบเดินเข้ามาหาทันที   

  

“อ๊ะจึ๋ย  ออกจากบ้านตระกูลหลิ่วแล้ว  ถึงขนาดตกต่ำถึงขั้นนอนสวนสาธารณะแล้วหรอ?”  หลิ่วเสี่ยวอวี่พูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันดูแคลน       

  

หวังซื่อเจี๋ยที่อยู่ข้างๆ  ก็เผยสีหน้าเย่อหยิ่งออกมา  เขาส่ายหัวทำเป็นปวดใจและพูดว่า  “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม  ก็ไม่น่าตกต่ำจนกลายเป็นขอทานได้นะ  แต่ยังดีที่ แกยังรู้จักเลือกคลุกคลีอยู่ในชุมชนที่หรูหรา  นับว่ายังมีหัวคิดอยู่บ้าง”     

  

หลี่ผู่ยิ้มอย่างไม่แยแสแล้วพูดว่า  “จินตนาการเก่งจริงๆ”    

  

“ไม่ใช่เหรอ??”  หลิ่วเสี่ยวอวี่แค่นเสียงเย็นชาพูดขึ้น  “นายที่สุดแสนจะเกียจคร้าน  ยังจะสามารถทำอะไรได้อีกล่ะ  ก็ได้แต่ขอทานแล้วมั้ง”     

  

“วางใจเถอะ  พวกเราจะไม่บอก รปภ.ให้ตะเพิดไล่แกออกไปหรอกนะ  แต่เราว่านายพยายามไปหาอะไรให้ทำดีกว่า  ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป  นายก็จะเป็นสวะไร้ประโยชน์แล้วจริงๆ นะ”  หวังซื่อเจี๋ยพูดด้วยความปรารถนาดีอันจริงใจอย่างแท้จริง        

  

หลี่ผู่มองดูทั้งสองคนนี้ แล้วถามเสียงเฉยเมยว่า  “กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว  ยังว่างมากขนาดนี้อีกหรอ?”        

  

“แน่นอนว่ายุ่งมากอยู่แล้ว”  หลิ่วเสี่ยวอวี่เหลือบตามองพลางพูดขึ้น  “ที่นี่มีเพื่อนสนิทของพวกเราหลายคน  ล้วนเป็นผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง  พวกเรามาส่งบัตรเชิญ”      

  

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รบกวนแล้ว  พวกคุณตามสบายเลย”  หลี่ผู่พูดพลางก็เดินจากไป       

  

หวังซื่อเจี๋ยตะโกนไล่หลังตามว่า  “อย่าลืมมาร่วมงานพิธีแต่งงานด้วยนะ  ถึงยังไงนายก็เคยมีความสัมพันธ์กับเสี่ยวอวี่เป็นช่วงเวลาหนึ่ง  คุณควรเห็นพยานความสุขของเธอ”         

  

“ฉันต้องไปอยู่แล้ว”  หลี่ผู่จากไปโดยแม้แต่หน้าก็ไม่หันมามองด้วยซ้ำ    

  

ทั้งสองมองหน้ากันหัวเราะ  แล้วพากันส่ายหน้า   

  

และเวลานี้ โจวรั่วหนานกำลังประคองคุณปู่และกับบอดี้การ์ดมาถึงที่ ทุกสิ่งอย่างในเมื่อครู่นี้  ล้วนถูกสังเกตเห็นในสายตาของโจวรั่วหนาน       

  

เธอบอกกับบอดี้การ์ดว่า  “นายไปออกกำลังกายกับคุณปู่ก่อน  ฉันจะกลับมาทันที”       

  

บอดี้การ์ดพยักหน้า  ประคองโจวอู่ฉู้เข้าไปในสวนสาธารณะ ส่วนโจวรั่วหนานรีบเร่งติดตามหวังซื่อเจี๋ยกับหลิ่วเสี่ยวอวี่จนทัน      

  

“ขอถามคุณทั้งสองหน่อย  พวกคุณรู้จักกันกับคนเมื่อครู่คนนั้นหรือ?”  โจวรั่วหนานถามขึ้น    

  

ทั้งสองเหลียวหน้าหันกลับมามองดูโจวรั่วหนาน  พวกเขารู้ว่า  ผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแห่งนี้ไม่ร่ำรวยมั่งคั่งก็เป็นชนชั้นสูง  จึงไม่กล้าละเลยเพิกเฉย   

  

หลิ่วเสี่ยวอวี่รีบพูดว่า  “ใช่ รู้จักกัน  คุณมีเรื่องอะไรหรอ?”       

  

“ฉันชื่อโจวรั่วหนาน  ฉันอยากรู้ว่าคนนั้นทำงานอะไร  สามารถบอกฉันได้มั้ย?”  โจวรั่วหนานถาม   

  

เมื่อหลิ่วเสี่ยวอวี่ได้ยิน  เธอครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า  “เขาคืออดีตสามีของฉัน  แต่งเข้าบ้านฉันมาร่วมสามปี  เกียจคร้านไม่ทำงานทำการอะไรเลย  พวกเราเพิ่งจะหย่าร้างกันหยกๆ”       

  

“พวกเธอต้องระมัดระวังนะ เขามาสถานที่นี้ จะต้องไม่มีเจตนาดีแน่  คนที่ยากจนข้นแค้นจนบ้าคลั่ง อะไรก็กล้าทำออกมาได้”  หวังซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างลึกซึ้ง   

  

โจวรั่วหนานพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า  “ขอบคุณมากค่ะ  ฉันเข้าใจแล้ว”      

  

พูดจบ เธอก็หันหลังกลับไปยังสวนสาธารณะ 

  

อย่างที่เธอคาดเดาไว้จริงๆ จุดประสงค์ของเจ้าหมอนี่  ก็เพื่อตีสนิทใกล้ชิดกับพวกเขาตระกูลโจวนั่นเอง  คนลักษณะแบบนี้จะมีความสามารถอะไรได้ล่ะ        

  

รอให้พ่อกลับมาแล้ว  จะต้องเปิดเผยโฉมหน้าอันแท้จริงออกมาแน่  ไม่ให้คุณปูหลงกลอีก       

  

ส่วนหลี่ผู่กลับมาถึงห้อง  หลังจากอาบน้ำเสร็จสิ้นก็เริ่มฝึกฌานนั่งสมาธิ 

  

จนถึงเย็นย่ำค่ำ  กริ่งประตูได้ดังขึ้น  

  

หลี่ผู่ลุกขึ้นไปเปิดประตู  กลับพบว่าเป็นโจวอู่ฉู้นั่นเอง  เขามาด้วยลำพังคนเดียว ในมือยังถือเหล้าขวดหนึ่ง       

  

“ท่านโจวหรอ  เชิญเข้ามาเลยครับ”  หลี่ผู่เชื้อเชิญโจวอู่ฉู้เข้ามาในบ้าน     

  

โจวอู่ฉู้วางเหล้าลงบนโต๊ะน้ำชาด้านข้าง  สองคนนั่งลง  หลี่ผู่ชงน้ำชาแก้วหนึ่งแล้วนำมาให้ 

  

โจวอู่ฉู้ทอดถอนใจกล่าวว่า  “ช่างมหัศจรรย์จริงๆ  ตั้งแต่วันนั้นที่นายได้ช่วยถ่ายทอดพลังชี่เข้าสู่ร่างกายขอวฉัน  และฝึกบำเพ็ญเพียรตามเคล็ดวิชาของนายให้มานั้น  ร่างกายของฉันดูเหมือนจะได้ชีวิตชีวาอีกครั้ง ดูท่าแล้ว ฉันคงสามารถผ่านวันเวลาอันเวิ้งว้างว่างเปล่าอีกหลายปีแล้ว”     

  

“เหอะๆ  ตลอดชีวิตของคุณบรรเจิดเพริศแพร้วมากเพียงพอแล้ว  เวลาที่เหลืออยู่นั้น  ก็เสพสุขกับชีวิตให้สนุกอย่างมีความสุขเลย”     

  

ทั่งสองกำลังคุยกันอยู่  หลานเยว่เลิกงานกลับถึงบ้าน  เมื่อเห็นว่ามีแขกอยู่ด้วยก็รีบเร่งเข้ามาทักทาย   

  

โจวอู่ฉู้กล่าวทักทายอย่างสุภาพ  หลี่ผู่พูดว่า  “รบกวนเธอช่วยทำอาหารสักหลายจาน  ฉันเห็นว่าท่านโจวคงคิดจะดื่มสักสองแก้ว”     

  

หลานเยว่พยักหน้าอ  ยังไม่ทันไปเปลี่ยนชุดทำงานที่สวมอยู่ก็เข้าไปในห้องครัว  

ไม่นานนักหลานเยว่ก็ยกกับข้าวสี่จานมาขึ้นโต๊ะแล้ว  ล้วนเป็นอาหารประจำบ้านตามปกติ  แต่สีสันรสชาติช่างหอมกรุ่นดูน่ากินทุกจาน 

  

วางจานลงบนโต๊ะและนำแก้วเหล้ามา  หลานเยว่อยู่ข้างๆ คอยบริการรินเหล้าให้ทั้งสองคน    

  

หนึ่งคนชรากับหนึ่งชายหนุ่ม  สนทนาพลางดื่มเหล้าด้วยกันพลางอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน    

  

มองดูก็รู้ว่าโจวอู่ฉู้ไม่ได้ดื่มเหล้ามาเป็นเวลานานมากแล้ว  คอยชนแก้วกับหลี่ผู่ไม่หยุด  อารมณ์ดีมากมีความสุขเป็นอย่างมาก     

  

หลี่ผู่ก็คอยดื่มเป็นเพื่อนเช่นกัน  ถึงแม้ว่าร่างกายของโจวอู่ฉู้ยังไม่ได้ฟื้นฟูกลับคืนสภาพเดิม  แต่ตอนนี้ได้ฝึกฌานบำเพ็ญเพียรตามเคล็ดวิชาของเขาแล้ว  การดื่มเหล้าเล็กน้อยไม่ส่งผลกระทบใดๆ โดยสิ้นเชิง     

  

ระหว่างดื่มเหล้า  หลี่ผู่หยิบบุหรี่ออกมาแล้วมองไปทางโจวอู่ฉู้   

  

ดวงตาโจวอู่ฉู้เป็นประกายขึ้นมาทันใด  หลี่ผู่ยิ้มพลางถามว่า  “เอาสักมวนมั้ย?”    

  

“ขอสูบสักมวนละกัน”  โจวอู่ฉู้หัวเราะลั่นพลางพูดขึ้น   

  

หลี่ผู่ยื่นบุหรี่ให้มวนหนึ่งพร้อมกับช่วยจุดให้  โจวอู่ฉู้รู้สึกเสพสุขเป็นอย่างยิ่ง  สูดเข้าไปลึกๆ แล้วคำหนึ่ง  หลังจากหลายวินาทีแล้ว  จึงได้พ่นควันอันเข้มข้นหนาทึบออกมาคำหนึ่ง       

  

“ช่างสุขสบายเลย  นี่แหละจึงเป็นรสชาติของชีวิต”  โจวอู่ฉู้พูดอย่างดื่มด่ำมีความสุข  

หลี่ผู่หัวเราะเหอะเหอะกล่าวว่า  “แต่ก็สูบให้น้อยหน่อยดีกว่า”   

  

“ชีวิตที่ไม่มีความสุข  ต่อให้มีชีวิตยืนยาวถึงหมื่นปี  ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย”  โจวอู่ฉู้กล่าวอย่างลึกซึ้ง      

  

หลี่ผู่ได้แต่พยักหน้า โดยไม่พูดไม่จาอะไร 

  

ในเวลานี้เองกริ่งประตูดังขึ้นอีกครั้ง  หลานเยว่ลุกขึ้นเปิดประตูออก  เห็นเพียงโจวรั่วหนานเดินดุ่มๆ เข้ามาแล้วอย่างโมโหเดือดดาล      

  

“ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณปู่ต้องมาอยู่ที่นี่  ยังทั้งสูบบุหรี่และดื่มเหล้าด้วย?”  โจวรั่วหนานจ้องมองดูบุหรี่และเหล้าที่อยู่บนโต๊ะอย่างเหลือเชื่อและตระหนกตกใจ        

  

โจวอู่ฉู้ขมวดคิ้วกล่าวว่า  “โวยวายอะไรกัน  มาถึงในบ้านคนอื่นแล้ว  ไมรู้จักมารยาทสักนิดเหรอ?”     

  

“คุณปู่คะ  เขาคือนักต้มตุ๋นชัดๆ”  โจวรั่วหนานตะโกน  “คุณปู่ดูสิ  ตอนนี้ยังให้คุณปู่สูบบุหรี่และดื่มเหล้าด้วย  สภาพร่างกายของตนเองคุณปู่ไม่รู้เหรอ?”     

  

“ฉันรู้อย่างดี”  โจวอู่ฉู้กล่าวอย่างโกรธเคือง  “ร่างกายของฉัน  ฉันเข้าใจดียิ่งกว่าใครทั้งนั้น”    

  

โจวรั่วหนานพูดว่า  “แล้วคุณยังสูบบุหรี่และดื่มเหล้าอีก  หมอสั่งไว้ว่ายังไงคุณปู่จำไม่ได้หรอ?”   

  

โจวอู่ฉู้ส่ายหน้าแล้วมองไปทางหลี่ผู่และกล่าวว่า  “ดูเหมือนว่าเหล้านี้กินต่อไม่ได้แล้ว  น่ารำคาญเป็นวันๆเลย”   

  

พูดจบ โจวอู่ฉู้ไม่ไปสนใจโจวรั่วหนาน และลุกขึ้นจากไปอย่างลำพัง   

  

โจวรั่วหนานจ้องมองหลี่ผู่  พูดอย่างเคียดแค้นว่า  “แกเจ้านักต้มตุ๋นนี่  เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว  ถึงกับให้ผู้ป่วยหนักคนหนึ่งสูบบุหรี่ดื่มเหล้า  แกนี่มันน่าเกลียดชังเกินไปแล้วจริงๆ”     

  

หลี่ผู่จุดบุหรี่ขึ้นมวนหนึ่งโดยไม่แยแสสนใจเธอ  

  

เมื่อโจวรั่วหนานเห็นสถานการณ์เช่นนั้น  ก็หันไปถามหลานเยว่ว่า  “พวกคุณมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”     

  

“ขอถามหน่อยคุณเป็นใคร  ฉันจำเป็นต้องบอกคุณด้วยเหรอ?”  หลานเยว่พูดโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อยนิด     

  

โจวรั่วหนานกล่าวอย่างเย็นชาว่า  “ไม่ว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องยังไงกัน  ต่อไปห้ามเข้าใกล้คุณปู่ฉันอีก  อีกอย่าง คุณก็น่าจะเป็นคนที่มีหน้ามีตาด้วย  คนนี้เป็นนักต้มตุ๋น  หวังว่าเธออย่าถูกเขาหลอกลวงด้วยจนทั้งเสียคนและทรัพย์สินจนหมดสิ้น”     

  

หลังจากทิ้งท้ายด้วยคำพูดนี้ไว้  โจวรั่วหนานก็จากไปติดตามคุณปู่ของเธออย่างเร่งรีบ    

  

หลานเยว่รู้สึกหมดคำจะพูด  ทำไมเด็กสาวคนนี้จึงไร้เหตุผลมากถึงขนาดนี้   

  

“เจ้านายคะ  คนนี้เป็นใครเหรอ  ทำไมทำแบบนี้อ่ะ?”  หลานเยว่ถามอย่างงุนงง   

  

หลี่ผู่กล่าวเสียงเรียบเฉย “คนแก่นี้คือโจวอู่ฉู้  ผู้หญิงคือโจวรั่วหนาน หลานสาวของเขา”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel