ความบังเอิญที่น่าประทับใจ
ยามเย็นที่เงียบสงบปกคลุมไปทั่วจวนใหญ่ของท่านเจ้าเมือง เมืองหลิ่งหลัว นกน้อยส่งเสียงขับขานอย่างอ่อนหวาน ลมเย็นพัดเบา ๆ ผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้อง เสี่ยวจู หญิงสาวผู้มีความงามอ่อนโยนในวัยเพิ่งเบ่งบาน ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่างที่มองเห็นท้องฟ้าสีส้มแดง ซึ่งดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าทอแสงราวกับกำมะหยี่อันนุ่มนวล ตะวันลับฟ้าสะท้อนในดวงตาของนางขณะที่คิดถึงเรื่องราวที่นางได้พบเจอมาในวันนั้น
ความทรงจำยังคงชัดเจนในใจของนาง เหตุการณ์ที่ได้พบชายหนุ่มรูปงามผู้ลึกลับในสวนบุปผา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในใจตั้งแต่แรกพบ ความงามและความสงบในดวงตาของเขาที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกสะกด สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเลือนหายไปจากความคิดของเสี่ยวจู นางคิดถึงเขาอยู่เสมอ ตั้งแต่กลับมาจากสวนบุปผา ความรู้สึกนี้ไม่ได้จางหายไปเลย หากแต่กลับยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกครั้งที่นางนึกถึง
"ต้องทำอย่างไร ข้าถึงจะได้พบท่านอีกครั้ง..." เสียงพึมพำของนางเบาแผ่วราวสายลม เสี่ยวจูถอนหายใจอย่างลึกซึ้ง นางรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดนางให้คิดถึงชายผู้นั้น ชายที่นางไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ แต่ใบหน้าอันงดงามของเขากลับชัดเจนในจิตใจของนางยิ่งกว่าใคร
ขณะที่เสี่ยวจูกำลังอยู่ในภวังค์เสียงเรียกของจิงจิง สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ของนางดังขึ้นจากหน้าประตู “คุณหนูเจ้าคะ นายท่านเรียกไปทานข้าวเย็นนะเจ้าคะ” จิงจิงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพและนอบน้อม
เสี่ยวจูสะดุ้งเล็กน้อยจากความคิดของนางและหันไปตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ขอบใจนะ ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” นางกล่าวก่อนจะหันกลับมามองท้องฟ้าอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนลาจากความคิดถึงนั้นชั่วครู่
นางเดินออกจากห้องแล้วลงบันไดไปยังห้องทานข้าวใหญ่ของจวน ซึ่งถูกจัดเตรียมอย่างงดงาม บนโต๊ะอาหารมีอาหารหลากหลายชนิดที่แม่ครัวในจวนได้บรรจงเตรียมไว้อย่างพิถีพิถัน อาหารที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใสและกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งรวมตัวกันที่โต๊ะอย่างพร้อมหน้า สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เสี่ยวจูเมื่อนางเดินเข้ามา
นายท่านเสี่ยวเหยา บิดาของเสี่ยวจู เป็นเจ้าเมืองที่มีชื่อเสียงด้านความยุติธรรมและความเมตตาในหลิ่งหลัว เขานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะด้วยท่าทีสุขุม มารดาของนาง ฮูหยินหลี่เหมย หญิงที่มีจิตใจดีงามและอ่อนโยนกำลังพูดคุยกับบุตรชายคนเล็กของบ้าน เสี่ยวหลง เด็กหนุ่มวัยสิบสองหนาวผู้มีจิตใจดีและมักจะเป็นที่รักของทุกคนในบ้านกำลังเล่นกับของเล่นที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญ
เมื่อเสี่ยวจูเดินเข้ามาในห้อง นายท่านเสี่ยวเหยาหันมายิ้มให้บุตรสาวอย่างอบอุ่น “เสี่ยวจู มานั่งเถอะ อาหารพร้อมแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” เสี่ยวจูตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเดินไปนั่งประจำที่ของตน บรรยากาศในห้องทานข้าวช่างอบอุ่นและเป็นกันเอง นายท่านเสี่ยวเหยาหยิบถ้วยน้ำแกงแล้วยื่นให้บุตรชายของเขาพร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความรักใคร่ “เสี่ยวหลง กินน้ำแกงเยอะๆ จะได้แข็งแรง”
เสี่ยวหลงรับถ้วยน้ำแกงด้วยความดีใจ “ขอบคุณขอรับท่านพ่อ” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเริ่มซดน้ำแกงอย่างเอร็ดอร่อย เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเขาดังขึ้นในขณะที่ทุกคนที่โต๊ะกำลังทานอาหารด้วยความสุข
ฮูหยินหลี่เหมยมองบุตรสาวอย่างรักใคร่และลูบหัวเสี่ยวจูเบา ๆ “เสี่ยวจู วันนี้ลูกไปไหนมาบ้าง?”
เสี่ยวจูยิ้มอ่อนๆ ก่อนตอบ “วันนี้ข้าได้ไปเดินเล่นในตลาดคนเดินและแวะโรงน้ำชา มีของขายมากมายและผู้คนคึกคักมากเจ้าค่ะท่านแม่”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสี่ยวหลงก็พูดขึ้นมาอย่างร่าเริง “วันนี้ตอนที่ข้าอยู่ในห้อง ข้าเห็นแมวตัวหนึ่งพยายามจับผีเสื้อในสวน ข้ากลั้นขำอยู่ตั้งนานเพราะมันตลกมาก ๆ เลยขอรับ” เขาหัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น
ทุกคนหัวเราะตามเสี่ยวหลง บรรยากาศที่โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ ความรักและความอบอุ่นในครอบครัวของพวกเขาทำให้เสี่ยวจูรู้สึกสบายใจ แต่ในใจของนางยังคงคิดถึงเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ลึกลับที่พบในสวนบุปผา นางไม่ได้พูดออกมา แต่ภายในใจของนางกลับหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบเขาอีกครั้ง
หลังจากมื้ออาหารจบลง เสี่ยวจูขอตัวกลับไปยังห้องของตน นางนั่งลงข้างหน้าต่างอีกครั้ง มองออกไปยังท้องฟ้าที่บัดนี้กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ปราศจากแสงอาทิตย์ มีเพียงดวงจันทร์ที่ส่องแสงอย่างอ่อนโยน นางยื่นมือไปจับหน้าต่างพลางคิดถึงชายผู้นั้น หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสับสนและความหวังที่อยากจะพบเขาอีกครั้ง
วันหนึ่ง เสี่ยวจูตัดสินใจออกไปเดินเล่นในตลาดคนเดินอีกครั้ง นางหวังว่าโชคชะตาอาจนำพาให้นางได้พบกับชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง ขณะที่นางเดินชมสินค้าในตลาดอย่างเพลิดเพลิน นางก็เผลอเดินชนกับใครบางคนโดยไม่ทันระวัง นางตกใจและเงยหน้าขึ้นดู
เมื่อนางเห็นใบหน้าของคนที่นางชน นางถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ ใบหน้านั้นคือใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามที่นางได้พบในสวนบุปผา กลิ่นหอมหวานของดอกไม้กับน้ำผึ้งที่ลอยมาจากตัวของเขาทำให้หัวใจของนางเต้นแรง นางรู้สึกงุนงงไปชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เป็นท่าน?”