8 มากกว่าผู้ช่วย
เมญาวีถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินเพราะร่างกายของเธออ่อนเพลียและมีไข้สูงมาก เวหาเป็นห่วงผู้ช่วยจนนั่งไปติดเขาลืมไปสนิทว่าต้องรีบกลับไปทานข้าวกับมารดาจนท่านโทรมาตาม
“แม่ครับ ผมขอโทษ พอดีว่าลูกน้องผมไม่สบายครับ ผมเลยพามาส่งที่โรงพยาบาล”
“ส่งแล้วเวย์ก็รีบกลับสิ แม่รอเวย์อยู่นะลูก”
“แม่ครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าเธอเป็นอะไร ผมอยากคุยกับหมอก่อน”
“แค่ลูกน้องป่วย เวย์ทำไมต้องไปเองด้วย เพื่อนหรือญาติของเธอไม่มีหรือไง”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“แล้วเวย์จะกลับตอนไหน แม่ไม่อยากทานข้าวคนเดียว”
“คุณหมอออกมาพอดี ผมขอคุยกับคุณหมอก่อนแล้วผมจะรีบกลับนะครับ”
“จ้ะ แม่รอนะเวย์”
“ครับแม่”
หลังทานอาหารเสร็จแล้วเวหาก็รีบให้มารดาทานยาและเข้านอน เขารอจนกระทั่งเธอหลับสนิทชายหนุ่มก็ออกจากบ้านอีกครั้ง
เวหารีบมายังโรงพยาบาล ตอนนี้เมญาวีได้เข้าพักที่ห้องผู้ป่วยในแล้ว
ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงผู้ช่วยอยู่มาก เขาคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอไม่สบาย เพราะเมื่อวานตอนที่หญิงสาวลงจากรถนั้นเธอคงไปเปียกฝนอยู่ไม่น้อย เขาคงเห็นแก่ตัวเกินไปที่ปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ต้องหาทางกลับที่พักคนเดียว ถ้าหากเมื่อวานเขาเพียงโทรไปบอกมารดาว่าจะกลับไปทานข้าวเย็นด้วยไม่ได้ เมญาวีก็คงไม่ต้องตากฝนจนไม่สบาย
เวหาไม่รู้ว่าเมญาวีมีเพื่อนหรือญาติที่ไหนหรือเปล่า เพราะไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเธอเลยสักครั้ง บางทีตอนนี้คนที่บ้านของเธออาจจะกำลังตามหาอยู่ก็ได้
เขามองหากระเป๋าถือ พอเจอแล้วก็ถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาเผื่อว่าจะมีใครโทรตาม เขาจับนิ้วของผู้ช่วยขึ้นมาสแกนเพื่อปลดล็อก แต่ดูแล้วไม่มีใครติดต่อมาเลยสักคน
พอเห็นแบบนั้นเวหาก็รู้สึกสงสาร เพราะถ้าเป็นเขากลับบ้านผิดเวลาขนาดนี้มารดาก็คงโทรตามแล้ว
เพราะเห็นว่าเมญาวีไม่มีใคร ชายหนุ่มเลยคิดว่าคืนนี้เขาจะนอนเฝ้าเธออย่างน้อยก็ไถ่โทษที่เป็นต้นเหตุให้หญิงสาวล้มป่วย
เวหาไม่เคยเป็นห่วงใครแบบนี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าที่ห่วงเพราะเธอคือผู้ช่วยหรือห่วงเพราะเธอคือคนที่เขาใกล้ชิดมาตลอดหนึ่งเดือน ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองเริ่มสนใจในตัวผู้ช่วยขึ้นมาทีละนิดเพราะทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ เวหารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงมากกว่าปกติ มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ไม่เคยสังเกต รู้แต่ว่ายิ่งใกล้ก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น หัวใจที่เย็นชาของเขาเปิดรับเมญาวีเข้ามาทีละนิด
เมญาวีตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลางดึก หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้เพราะตอนนี้เจ้านายหนุ่มของเธอนั้นนอนฟุบศีรษะอยู่ข้างเตียง
“คุณเวย์คะ” เธอเรียกเสียงเบาจนเหมือนกระซิบ
“ตื่นแล้วเหรอ”
“ค่ะ คุณเวย์มาได้อยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วคุณไม่กลับไปทานข้าวกับแม่เหรอคะ”
“อือ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เป็นยังไงบ้าง” เขาเอื้อมมือมาแตะหน้าผากเธออีกครั้งอย่างแผ่วเบา
เมญาวีรู้สึกอบอุ่นกับสัมผัสนั้นอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนวันที่เจอพี่ชายใจดีคนนั้นที่สนามเด็กเล่น
“ตัวยังร้อนอยู่เลยนะครับ หน้าก็แดงมากเลยผมว่ายาคงหมดฤทธิ์ไปแล้ว”
“คุณเวย์ช่วยเรียกพยาบาลให้หน่อยได้ไหมคะ เมยอยากได้ยาแก้ปวดหัวสักหน่อย”หญิงสาวไม่รู้ว่าที่ตัวเองหน้าแดงเพราะพิษไข้หรือเพราะเขินที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้านายกันแน่
“ปวดหัวเหรอครับ”
“ค่ะ”
เวหากดออดเรียก รอไม่นานพยาบาลก็เข้ามา วัดอุณหภูมิและความดันของคนไข้สาวอีกครั้งก่อนจะให้ยาลดไข้
“ไข้ยังสูงอยู่เลยนะคะ เดี๋ยวจะให้ผู้ช่วยพยาบาลมาเช็ดตัวให้นะคะ”
“ฉันว่าไม่ต้องเช็ดก็ได้มั้งคะ กินยาแล้วก็น่าจะดีขึ้น”
“เช็ดเถอะครับ เดี๋ยวผมออกไปรอข้างนอก” เวหาคิดว่าเธอคงจะอาย
“คุณเวย์กลับไปพักก็ได้นะคะ เมยอยู่คนเดียวได้”
เวหาเดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้พูดอะไร
“คุณไม่น่าไล่แฟนคุณไปอย่างนั้นเลยนะคะ ดูท่าทางเขาเป็นห่วงคุณมากเลย” ผู้ช่วยพยาบาลที่กำลังเช็ดตัวอยู่ก็ชวนคุย
“ไม่ใช่แฟนหรอกค่ะ คุณเวหาเป็นเจ้านาย”
“เจ้านายของคุณใจดีมากเลยนะคะ ทั้งพามาส่ง แล้วยังมาเฝ้าอีก”
“เขาก็คงสงสารน่ะค่ะ”
“ไม่จริงหรอกค่ะ สายตาเขาดูเป็นห่วงคุณมาก คนมีเงินขนาดนั้นถ้าเขาไม่ห่วงก็คงจ้างพยาบาลเฝ้าแล้ว ไม่มานั่งเฝ้าด้วยตัวเองหรอกนะคะ”
“ค่ะ” เมญาวีอดยิ้มไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน เธอเองก็หวั่นไหวกับความใกล้ชิดของเจ้านายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยเพราะในใจของเธอนั้นมีใครอีกคนจับจองที่ว่างไว้แล้ว
แต่แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเวหาเป็นคนเดียวกับคนที่เธอตามหาและรอคอยมาตลอดเธอคงจะเป็นคนที่โชคดีกว่าใครทั้งหมด
“เรียบร้อยแล้วนะคะ อีกครึ่งชั่วโมงจะเข้ามาวัดไข้อีกครั้งนะคะ”
“ขอบคุณมาก ๆ”
พอผู้ช่วยพยาบาลออกไปแล้วเมญาวีก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา เพราะจะรอให้พยาบาลเข้ามาวัดไข้อีกครั้งก่อนที่จะนอนยาวทีเดียว
แต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงประตูห้องก็เปิดออก
“คุณเวย์ ทำยังไม่กลับคะ ดึกแล้วนะคะ”
“ถ้าผมกลับก็คงไม่เห็นคนป่วยนั่งเล่นโทรศัพท์สิครับ หายปวดหัวแล้วเหรอครับ”
“ปวดอยู่นิดหน่อยค่ะ”
“แล้วทำไมไม่รีบพัก” เขาทำเสียงไม่ค่อยพอใจเพราะคิดว่าคนป่วยควรจะนอนพัก
“เมยรอพยาบาลเข้ามาวัดไข้ค่ะ ระหว่างรอก็เลยเล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลาเท่านั้นเองนะคะ ว่าแต่คุณเวย์เถอะค่ะ ดึกแล้วนะคะ เมยว่าคุณกลับไปพักเถอะค่ะ”
“ผมว่าจะค้างที่นี่”
“อะไรนะคะ”
“ผมจะค้างที่นี่ มันดึกแล้วผมง่วงขี้เกียจขับรถ”
“เมยว่าไม่ดีมั้งคะ โซฟาตัวเล็กนิดเดียวคุณจะนอนได้ยังไงคะ”
“ผมนอนได้ครับ อีกอย่างถ้าดึก ๆ คุณไข้สูงขึ้นมาจะทำยังไง ผมอยู่ด้วยอย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่คนเดียวจริงไหมครับ”
เมญาวีไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะตอนนี้พยาบาลเดินเข้ามาวัดอุณหภูมิพอดี
“ไข้ลงมาบ้างแล้ว แต่ยังวางใจไม่ได้ถ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวหรือต้องการความช่วยเหลือก็กดออดเรียกได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
พยาบาลเดินออกจากห้องไปแล้วเวหาก็ลุกขึ้นปิดประตูจากนั้นก็ปิดไฟทุกดวงเหลือไว้แต่ไฟที่หน้าห้องน้ำ
“มีอะไรก็เรียกผมดัง ๆ นะ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณเวย์”
“นอนเถอะ”
เมญาวีหลับยาวถึงเช้า ทั้งห้องว่างเปล่าเธอไม่รู้ว่าเวหากลับไปตอนไหน
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้วเมญาวีก็โทรหารินรดาเพราะอยากจะขอยืมเงินมาจ่ายค่ารักษา เธอไม่กล้าโทรไปขอเงินที่บ้านเพราะกลัวมารดาจะตกใจ และไม่ลืมที่จะให้เพื่อนเตรียมชุดสำหรับใส่กลับบ้านมาให้ด้วย
หลังจากวางสายไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรินรดาก็มาถึงโรงพยาบาล
“ขอบใจมากนะริน เมยไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้ ว่าแต่อยู่ทำไมถึงไม่สบายได้ล่ะ ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเมยต้องนอนโรงพยาบาลสักครั้งเลย ไปทำอะไรมา”
“เมยตากฝนนิดหน่อย”
“ตากฝนนิดหน่อยเองเหรอ” รินรดาจ้องหน้าเพื่อนอย่างคาดคั้น เธอต้องการคำตอบที่แท้จริง
“ก็ประมาณหนึ่งนั่นแหละ เมยขี้เกียจรอแท็กซี่ก็เลยนั่งวินคิดว่าไม่นานคงถึงแต่ฝนมันตกไม่หยุด”
“นั่นไง วันหลังโทรตามรินให้ไปรับ”
“อือ คราวหลังเมยจะโทรให้รินไปรับ”
“ใครพาเมยมาโรงพยาบาล แล้วเมื่อคืนเมยอยู่คนเดียวเหรอ ทำไมไม่โทรบอกรินตั้งแต่เมื่อคืน”
“เจ้านายพาเมยมาส่ง แล้วเมยก็หลับไม่รู้เรื่องเลย ตื่นอีกทีก็ดึกแล้ว”
“แสดงว่าเมื่อคืนเจ้านายเฝ้าเมยเหรอ”
“อือ”
“รินว่าเขาต้องคิดอะไรกับเพื่อนของรินแน่ ๆ ไม่มีเจ้านายที่ไหนอยู่เฝ้าลูกน้องหรอกนะเมย”
“คงไม่หรอกมั้ง เขาคงสารเมย”
“สงสารก็จ้างคนเฝ้าก็ได้ แล้ววันนี้เขาจะมาไหม รินอยากเจอ”
“เมยก็ไม่รู้ แต่คิดว่าคงไม่มาหรอก”
“อยากให้เขามาใช่ไหม เมยคิดอะไรกับเจ้านายหรือเปล่า”
“จะบ้าเหรอรินเขาเป็นเจ้านายของเมยนะ”
“เรื่องหัวใจมันไม่มีเจ้านายลูกน้องหรอกนะเมย”
รินรดามองหน้าเพื่อนแล้วก็ยิ้ม เธอคิดว่าเพื่อนของเธอคงเริ่มคิดอะไรกับเจ้านายแน่ ๆ เมื่อเห็นเพื่อนเงียบไปรินรดาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วหมอบอกว่าเมยเป็นอะไร จะให้กลับบ้านเมื่อไหร่”
“ก็เป็นไข้นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านตอนไหนคงต้องรอหมอมาตรวจ”
รินรดาแตะหลังมือไปที่หน้าผากของเพื่อนรัก
“ตัวไม่ร้อนแล้วนี่ หิวไหมกินอะไรหรือยัง” ถามด้วยความเป็นห่วง
“ยังเลย รินล่ะ”
“ยังไม่ได้กินเหมือนกันรีบมาหาเมยนั่นแหละ”
“ขอโทษนะที่ต้องให้ตื่นเช้าทั้ง ๆ ที่เป็นวันเสาร์”
“ไม่เป็นไรหรอก ดีเสียอีกไม่ต้องอยู่บ้าน เดี๋ยวรินจะลงไปหาอะไรกินนะ เมยอยากกินอะไรรินจะซื้อมาให้”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวอาหารของโรงพยาบาลก็คงมาเพราะเมื่อกี้พยาบาลเพิ่งเอายาก่อนอาหารมาให้”
พูดจบเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็นำถาดอาหารเข้ามาพอดี
“น่ากินมากเลย เมยดูสิ”
“กินด้วยกันไหมเมยกินไม่หมดหรอก”
“ไม่ละ รินไม่อยากแย่งของคนป่วย เมยต้องกินเยอะ ๆ นะจะได้หายไว ๆ”
“อือ รินยังไม่หิวแน่นะ”
“แน่สิไม่ต้องห่วงหรอกน่าถ้าหิวเดี๋ยวเราลงไปหาอะไรกินเอง”
“งั้นเมยกินนะ”