บทที่ 6
ความตกใจทำให้เธอถึงกับก้าวขาไม่ออก ไม่อาจระบุออกมาได้ว่าอะไรที่สร้างความแปลกใจให้เธอมากกว่าระหว่างการที่ท่านผู้เฒ่ารู้ว่าเธอเหยียบย่างเข้ามาในบ้านของเขาตั้งแต่แรก หรือใบหน้าที่ฉาบด้วยยิ้มละมัยเธอรู้สึกแปลกใจในตัวพ่อพอ ๆ กับที่แปลกใจในตัวลูกชายมาแล้วเพราะเธอคาดว่าจะต้องได้รับการต้อนรับด้วยสีหน้าเฉยเมยแบบทหาร แต่ท่าทางของท่านนายพลไมเคิล แรทลิฟฟ์ ผู้เฒ่าวันนี้ ดูอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความเมตตาล้นเหลือ เธอมีรูปถ่ายของเขาอยู่รูปหนึ่งแต่ก็ถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อสี่สิบปีก่อนซึ่งแทบจะไม่ละม้ายคล้ายคลึงบุรุษชราผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนวันนี้เลย
สีหน้าที่บ่งบอกทั้งความแปลกใจ ระคนกับความไม่อยากเชื่อในสายตาของตนเองที่เธอกำลังแสดงออกอยู่นั้นสร้างความขบขันให้เกิดขึ้นกับเขา
“เข้ามาใกล้ ๆ สิ ให้ผมเห็นหน้าคุณชัด ๆ หน่อยมิสซิสมาโลน”
แอนดี้แทบจะต้องบังคับขาให้ก้าวผ่านประตูกระจกบานเลื่อนเข้าไปในห้องที่เขานั่งอยู่ ซึ่งจะต้องเดินเลยลึกเข้าไปในห้องที่จัดไว้เป็นสวนหย่อมภายในบ้าน
“ท่านคือท่านนายพลแรทลิฟฟ์จริงๆ หรือคะ?” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้บอกความแน่ใจเลย ซึ่งทำให้เขาหัวเราะขบขัน
“แน่นอน.. ”
“แล้ว.. แล้วท่านรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าดิฉันคือใคร.. แล้วนี่ท่านนั่งรอดิฉันอยู่เลยหรือคะ?” เธอคิดสงสัยอยู่ในใจว่าหรือเลสจะโทรศัพท์มาแจ้งให้ท่านนายพลทราบแล้วว่าเธอจะเดินทางมาสัมภาษณ์.. แต่ก็รีบขจัดความคิดนั้นออกไปก่อนที่จะถามโพล่งออกไป.. เพราะเมื่อพิจารณาแล้วไม่น่าจะเป็นเทคนิคที่เลสจะเอามาใช้ และยิ่งกว่านั้น จะไม่มีใครสามารถพูดโทรศัพท์กับท่านนายพลได้ถ้าไม่ผ่านไลอ้อนก่อน และไลอ้อนก็ไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนใจง่ายๆเสียด้วย
“ใช่ ผมรอคุณอยู่” เขาไม่คิดจะอธิบายอะไรให้เธอเข้าใจมากกว่านั้น “เชิญนั่งก่อนสิ อยากดื่มอะไรสักหน่อยไหม?”
“เอ้อ.. ไม่ค่ะ.. ขอบคุณมาก” ทำไมเธอจู่ๆ เธอก็มีความรู้สึกเหมือนเด็กนักเรียนที่ลอบกระทำความผิดแล้วถูกครูจับได้เช่นนี้ก็ไม่รู้ เธอทรุดตัวลงนั่งหลังตรงในเก้าอี้พนักสูงดึงชายกระโปรงลงคลุมเข่า วางกระเป๋าถือไว้บนตัก “ตอนที่ท่านทักดิฉัน ท่านไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แล้วท่านจะ..”
“มันเป็นสัญชาตญาณที่ได้รับการฝึกมาจากการเป็นทหารไงล่ะ มิสซิสมาโลน หูผมน่ะยิ่งกว่าเรดาร์เสียอีกนะ ซึ่งเรื่องหูยาวนี้เป็นที่เกรงกลัวของพวกนายทหารชั้นผู้น้อยมากไม่มีใครกล้านินทาผมลับหลังหรอก” เขาพูดปนหัวเราะ
“แต่ท่านทราบชื่อดิฉันได้ยังไงล่ะคะ?” ถึงแม้เธอจะถูกจับได้ชนิดคาหนังคาเขา กระนั้น ก็ยังรู้สึกสนุกที่ได้สนทนากับท่านนายพลครั้งนี้ ทั้งยังเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่เธอโชคดีถึงขนาดได้เข้ามานั่งสนทนาอย่างเป็นกันเองกับบุรุษผู้ครั้งหนึ่งได้รับการขนานนามว่าวีรบุรุษของประเทศ ซึ่งแม้ว่า บัดนี้ สุขภาพของเขาจะร่วงโรย แต่สมองยังเปรื่องปราด ดวงตาคมกล้า และเธอแน่ใจว่าเขาจะต้องมองเห็นมากกว่าที่ผู้อื่นรับรู้เสียด้วยซ้ำ “แล้วท่านเคยดูรายการโทรทัศน์ที่ดิฉันเป็นผู้ดำเนินรายการบ้างไหมคะ?”
“ต้องขอโทษด้วยนะที่จะตอบว่าไม่เคยเลย ที่ผมรู้ว่าคุณเป็นใครก็เพราะไลอ้อนเล่าให้ฟังว่าได้พบคุณในเมืองเมื่อวานนี้” เขาจับตามองปฏิกิริยาของเธออยู่
“งั้นหรือคะ..?” เธอซ่อนความรู้สึกไว้ในสีหน้าเรียบเฉย “แล้วเขาเล่าให้ท่านฟังด้วยหรือเปล่าล่ะคะ ว่าเขาปฏิบัติต่อดิฉันอย่างหยาบคายแค่ไหน?”
ท่านผู้เฒ่าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น และทำให้สำลักถึงกับไอออกมา แอนดี้สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจรีบโน้มตัวเข้าไปหาด้วยหวังจะช่วยเท่าที่ทำได้ ทั้งที่เธอไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำอย่างไร เพราะคาดไม่ถึงว่าอาการเช่นนี้จะมาเกิดขึ้นตอนที่ท่านนายพลกับเธออยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่ในที่สุด อาการสำลักก็ทุเลาลง ท่านนายพลโบกมือให้เธอนั่งลงในที่เดิม หลังจากสูดลมหายใจลึกติดๆ กันหลายครั้งแล้ว เขาก็เอ่ยออกมาว่า
“ไม่หรอก ไลอ้อนไม่ได้เล่าให้ผมฟังหรอกว่าเขาไปแสดงความหยาบคายกับใครที่ไหนบ้าง แต่ฟังดูแล้วเชื่อได้เลยว่าเป็นเขา”
ท่านนายพลควักผ้าเช็ดหน้าลินินขาวสะอ้านออกมาเช็ดน้ำตา
“เขาเพียงแต่บอกผมว่า ตอนนี้ มีผู้สื่อข่าวอีกคนหนึ่งเข้ามาด้อม ๆ มองๆ อยู่แถวในเมืองอีกแล้ว พอมาถึงก็เริ่มถามโน่นถามนี่ เขาเรียกคุณว่าอะไรน้า.. อ๋อ.. พวกสอดรู้สอดเห็น.. อะไรทำนองนั้นละ แถมยังวิจารณ์อีกด้วยนะว่าคุณคงคิดว่าจะใช้รูปร่างหน้าตาเป็นเครื่องล่อให้ใครต่อใครเล่าเรื่องต่างๆ ที่คุณอยากรู้ให้ฟังได้..รู้สึกว่าเขาจะบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคุณได้ดีมากเลยนะ”
แอนดี้ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า ต้องพยายามกัดฟันข่มความแค้นเคืองไว้..ขณะเดียวกันก็รู้ว่า ขณะนี้ ท่านนายพลกำลังประเมินท่าทีของเธอที่มีต่อคำวิจารณ์ของลูกชายเขาด้วยสายตาคมปลาบคู่นั้นอยู่
“ท่านนายพลแรทลิฟฟ์คะ ดิฉันอยากจะเรียนให้ท่านทราบไว้ตอนนี้เลยนะคะว่า ลูกชายท่านเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวดิฉันอย่างมาก ดิฉันยอมรับว่าเป็นความจริงที่ว่าดิฉันเที่ยวสอบถามใครต่อใครเกี่ยวกับท่านและการใช้ชีวิตของท่านในไร่แห่งนี้ แต่ที่ทำเช่นนั้นดิฉันก็เพียงแต่จะ... ”
“คุณไม่จำเป็นต้องออกตัวอะไรกับผมหรอก มิสซิสมาโลน ผมเพียงแต่จะบอกให้คุณรับรู้ไว้ว่า คุณได้สร้างความประทับใจให้ไลอ้อนมากแค่ไหน และผมก็อยากแสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างปราศจากอคติด้วย..เอาอย่างนี้ให้ผมพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาก่อนดีกว่า.. คุณทำงานอยู่กับบริษัทเคเบิลทีวี แล้วคุณก็อยากจะสัมภาษณ์ผมเพื่อที่จะนำไปออกในรายการของคุณ.. ถูกต้องไหม?”
“ถูกต้องค่ะท่าน เรา.. เอ้อ.. หมายถึงดิฉันอยากจะสัมภาษณ์ท่านเพื่อทำรายการพิเศษติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งแต่ละโปรแกรมจะใช้เวลาครึ่งชั่วโมงค่ะ”
“เข้าใจ.. แต่..ทำไม?”
“ทำไม.. อะไรหรือคะ?” เธอไม่เข้าใจคำถามของเขา
“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงต้องการสัมภาษณ์ผม”
“ท่านนายพลแรทลิฟฟ์คะ..ดิฉันแน่ใจว่าท่านย่อมจะต้องเดาคำตอบได้อยู่แล้ว ท่านเป็นองค์ประกอบหนึ่งของประวัติศาสตร์อเมริกันนะคะ ชื่อของท่านถูกบันทึกลงไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์โดยเฉพาะช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเวลานานหลายปีมากนะคะที่ท่านเก็บตัวเองอยู่แต่ในไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ เพราะฉะนั้น เป็นธรรมดาที่ประชาชนคนอเมริกันทั้งหลายย่อมจะต้องอยากรู้เหตุผลในเรื่องนี้ของท่าน และแน่นอน พวกเขาย่อมอยากรู้ว่า ขณะนี้ ท่านกำลังทำอะไรอยู่”
“ซึ่งผมสามารถตอบคำถามทั้งหมดได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวว่า..ไม่ได้ทำอะไรเลย.. ผมได้แต่นั่งอยู่อย่างนี้ไปวัน ๆ ขณะที่ร่างกายก็แก่ชราร่วงโรยตามไป เสื่อมสภาพลงไปเรื่อย ๆ รอเวลากว่าที่ความตายจะมาถึงเท่านั้น” เขายกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นเธอขยับจะทักท้วง “เอาละ มิสซิสมาโลน ถ้าเราคิดจะทำงานร่วมกันต่อไปละก็ เราควรจะต้องซื่อตรงต่อกัน เวลานี้ผมเองก็ใกล้ตายเต็มทีแล้ว รอเวลาให้ความตายมาเรียกอยู่นานแล้ว บอกตามตรงว่าทุกวันนี้ผมอยากจะตาย ๆ ไปเสียให้มันรู้แล้วรู้รอด เบื่อกับการที่จะนั่งแก่อย่างไร้ประโยชน์อยู่อย่างนี้..!”
คำพูดของท่านนายพลทำให้แอนดี้พูดอะไรไม่ออกดังนั้น จึงได้แต่นั่งมองหน้าอยู่เงียบ ๆ
“เอาอย่างนี้นะ..เอาเป็นว่าถ้าผมจะอนุญาตให้คุณสัมภาษณ์ผมได้ คุณจะยอมรับในเงื่อนไขที่ผมจะตั้งขึ้นได้ไหมล่ะ?”
หัวใจของเธอเริ่มรัวระทึกขึ้นด้วยความตื่นเต้น คำพูดแบบนี้แสดงว่าท่านนายพลกำลังจะยอมตกลงให้เธอสัมภาษณ์ได้แล้ว..
“ได้สิคะท่าน”
เขาหัวเราะอย่างขบขันกับความตื่นเต้นที่เธอกำลังแสดงออกอยู่ขณะนี้
“ผมพอจะมองออกว่าคุณก็คงจะสัมภาษณ์ชีวิตผมตั้งแต่เมื่อครั้งยังหนุ่มนั่นแหละ.. แต่ฟังเงื่อนไขของผมก่อนดีกว่า..คือคุณสามารถจะถามเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของผมได้อาทิ การศึกษา การเข้ารับราชการทหาร งานในหน้าที่ทั้งก่อนหน้าและหลังเกิดสงครามโลก ว่าแต่.. คุณรู้หรือเปล่าว่าผมเคยเป็นพลทหารราบมาก่อน.. ?” และโดยไม่รอฟังคำตอบท่านนายพลได้กล่าวต่อว่า “คุณสามารถถามผมเกี่ยวกับสงครามในภาพรวม แต่จะตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุผลทางการเมืองไม่ได้”
“ดิฉันเข้าใจค่ะ” เธอตอบเสียงเบา
“ถ้าคุณตั้งคำถามอะไรก็ตามที่พาดพิงไปถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองหรือเกี่ยวข้องกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยตรงผมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการตอบคำถามข้อนั้น ๆ ของคุณได้”
“ดิฉันเข้าใจค่ะ” แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่เมื่อมาถึงจุดนี้เธอย่อมจะต้องยอมตกลงทุกเงื่อนไขที่เขาตั้งขึ้นอยู่แล้ว เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งขึ้นไว้
“ถ้าอย่างนั้น เราจะเริ่มงานกันเมื่อไหร่..วันนี้เลยดีไหม?”