บทย่อ
ในสายงานอาชีพสื่อมวลชนทุกแขนง แม้จะเป็นที่ยอมรับในสังคมระดับหนึ่งว่าอยู่ในฐานันดรศักดิ์ที่ 4 แต่ผู้ที่อยู่ในสายงานอาชีพนี้ย่อมตระหนักอยู่แก่ใจว่ามันเป็นอาชีพที่ “เสี่ยง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสี่ยงต่อความเข้าใจผิด เสี่ยงแก่การถูกหวาดระแวง เสี่ยงต่ออันตรายที่มองไม่เห็นตัว และอื่นๆ อีกมากมาย ทว่า...ในความเสี่ยงนั้น มันก็มีความสุข สนุกกับการผจญภัยได้พบกับเหตุการณ์ที่แปลกและแตกต่างกันไปแล้วแต่เหตุการณ์ และบางครั้งเหตุการณ์หรือสถานการณ์ก็ยังนำพาให้พบกับ “ความรัก” ด้วย แอนเดรีย มาโลน เป็นนักข่าวสาวแห่งบริษัทเทเล็กซ์ เคเบิ้ล ทีวี ที่เสี่ยงเข้าไปขอสัมภาษณ์ นายพล ไมเคิล แรทลิฟฟ์ วีรบุรุษผู้ซึ่งประวัติชีวิตของเขากำลังจะกลายเป็นตำนานของชาวอเมริกัน ไลอ้อน แรทลิฟฟ์ บุตรชายคนเดียวของท่านนายพลที่ชิงชังรังเกียจสื่อมวลชนที่สุด ไม่ยอมให้ใครได้เข้าสัมภาษณ์บิดาผู้ชราภาพของเขาแม้แต่คนเดียว จนกระทั่ง แอนดี้ มาโลนเดินทางมาถึง... สถานการณ์สามารถสร้างเหตุมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้เสมอ...
บทที่ 1
“คุณแน่ใจหรือคะว่าเขาจะมาที่นี่วันนี้?” แอนดี้ มาโลน ถามย้ำด้วยสีหน้าบอกความกระวนกระวายใจ ขยับตัวเพื่อให้นั่งในท่าที่สบายขึ้น ม้ากลมหน้าเคาน์เตอร์บาร์มีเพียงแผ่นหนังที่หุ้มอยู่บนพื้นไม้แข็งกระด้าง
“ผมจะไปมั่นใจได้ยังไงกันเล่า?” กาบส์ แซนเดอร์ ผู้เป็นทั้งเจ้าของร้านและพ่อครัวใหญ่ของ กาบส์’ส ชิลลี่พาร์เลอร์ ตอบกลับมา ขณะใช้ผ้าขาวบางไม่สะอาดนักเช็ดถ้วยกาแฟที่มีทั้งรอยร้าวและคราบสีน้ำตาลติดอยู่ “ผมเพียงแต่บอกว่าวันนี้เขาน่าจะมาที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องมาแน่นอนนี่ ปรกติเขาเป็นคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่แล้ว” กาบส์ผู้มีเรือนผมสีดอกเลาพูดเป็นเชิงอธิบาย
สมองที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีของแอนดี้ต้องทำงานหนักกับความมาดหมายที่ตั้งขึ้นในใจ ทำให้ลืมม้าทรงกลมแข็งกระด้าง นั่งไม่สบายตัวนั้นไปได้ เธอรู้ดีว่าไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำอะไรเป็นการดึงดูดสายตาลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ หรือเซ้าซี้จะหาคำตอบให้กับคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจให้ได้ เพราะมีความเป็นไปได้ที่อาจทำให้กาบส์ แซนเดอร์ เกิดความรู้สึกว่าเธอออกจะสอดรู้สอดเห็นมากเกินไป แล้วก็จะเลิกตอบคำถามเธอไปเสียเลย
“โอ.. ยังงั้นหรอกหรือ...?” เธอจิบชาดำเย็นที่เสิร์ฟมาในแก้วพลาสติกสีแดง โดยที่ยังมีช้อนชาคาอยู่
“มิสเตอร์แรทลิฟฟ์ ทำให้คุณมีความรู้สึกว่าเขาออกจะเป็นคนใจร้อนอยู่สักหน่อยยังงั้นหรือคะ?”
และเธอก็รู้ได้ทันทีว่าคำถามที่เอ่ยออกไปนั้นทำให้กาบส์ระวังตัวขึ้นมาทันที มือที่กำลังเช็ดถ้วยกาแฟหยุดชะงักคิ้วดก ๆ สีเทาขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อมองเธออยู่ด้วยสายตาคมปลาบ
“ถามหน่อยเถอะว่าทำไมคุณถึงมาตั้งคำถามในเรื่องส่วนตัวของไลอ้อน แรทลิฟฟ์ มากมายหลายข้อนัก?”
แอนดี้ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เธอโน้มตัวเข้าไปหาเขาและพูดสิ่งแรกที่ผ่านเข้ามาในความคิดออกไป
“คือฉันมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เอสเอ็มยู อยู่คนหนึ่งรู้สึกว่าเธอจะเป็นคนที่นี่แหละ แล้วเธอก็เล่าถึงเรื่องผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีไร่ปศุสัตว์ใหญ่โต แถมยังขับเอล โดราโด้ สีเงินอีกด้วย มันทำให้ฉันมีความรู้สึกเหมือนเขาเป็นดาราหนังอะไรทำนองนั้น”
กาบส์ยังคงมองหน้าเธออย่างคาดคั้น ซึ่งทำให้ความมั่นใจในตัวเองของแอนดี้ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย.. ทีละน้อยเพราะมันคล้ายกับเขากำลังลอกโฉมหน้าของเธอออกก็ไม่ปานสายตาของเขาราวจะบอกเธอตรงๆ ว่า เธอแก่เกินกว่าจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว และนี่คือความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งของเธอเอง
“แล้วเขาเป็นใครล่ะ?”
แอนดี้เต็มไปด้วยความงุนงง ตอนแรก ก็จากสายตาของกาบส์ที่ราวจะสะกดเธอไว้ ต่อมาก็เป็นคำถามของเขา
“ใครเป็นใครกัน?”
“อ้าว.. ผมก็อยากรู้บ้างสิว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนของคุณน่ะเป็นใคร เพราะมันมีความเป็นไปได้ที่ผมจะรู้จักผมมาเปิดร้านขายอาหารอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี’47 โน่น เพราะฉะนั้นผมย่อมจะต้องรู้จักผู้คนที่อยู่ในเคอร์วิลล์นี่ทุกครอบครัวอยู่แล้ว”
“อ๋อ.. ถ้ายังงั้น..คุณคงไม่รู้จักคาร์ล่าหรอก จริงๆ แล้วเขาอยู่ในซานอันโตนิโอ จะมาพักอยู่กับญาติที่นี่เฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น” แอนดี้เอื้อมไปหยิบแก้วชาดำเย็น ดูดดื่มราวเกิดอาการกระหายจัด
นับแต่วันที่เดินทางมาถึงชุมชนเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณภูเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอมีความรู้สึกเหมือนตัวเอง เป็นปลาขาดน้ำอย่างที่สุด คำถามที่ตั้งขึ้นอย่างรอบคอบระมัดระวัง ใช้แต่คำพูดที่สุภาพ ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือวิเศษช่วยเปิดประตูบ้านทุกหลังให้เธอมาแล้วนั้น เมื่อมาถึงที่นี่มันกลับใช้ไม่ได้เอาเสียเลย คล้ายกับว่าผู้คนในชุมชนเคอร์วิลล์แห่งนี้ ต่างช่วยกันปกป้องคุ้มกันไลอ้อน แรทลิฟฟ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดาผู้ใช้ชีวิตสันโดษของเขา
นายพลไมเคิล แรทลิฟฟ์ คือนายพลห้าดาวแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ แอนดี้ได้ปฏิญาณไว้เลยว่า เธอจะต้องหาทางสัมภาษณ์บุคคลสำคัญท่านนี้เพื่อนำมาออกรายการโทรทัศน์ของเธอให้ได้และถ้าข่าวกระเส็นกระสายที่ว่าปัจจุบันสุขภาพของเขาทรุดโทรมลงมากเป็นความจริง เธอยิ่งจะต้องรีบหาทางสัมภาษณ์ให้เสร็จในเร็ววัน แต่เท่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ มันดูเหมือนเธอยังไม่ได้เห็นแสงแห่งความหวังเลยแม้แต่น้อยแถมกาบส์แซนเดอร์ ก็เกิดระวังปากคำขึ้นมาอีกเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เธอพบมาแล้วไม่มีผิด
ความตั้งใจอันมาดมั่นทำให้ปลายคางเชิดขึ้น แต่มุมปากกดลึกเป็นรอยยิ้มหวาน ดวงตาคู่งามฉายแสงพราว
“มิสเตอร์แซนเดอร์คะ ขอไลม์สักชิ้นเถอะจะเอามาใส่ชา” และความมั่นใจก็เพิ่มขึ้น เมื่อเห็นกาบส์ มีสีหน้าอ่อนโยนลงด้วยยิ้มของเธอ
“ใช้มะนาวแทนได้ไหมล่ะ?”
“ได้เลยค่ะ ขอบคุณ”
เธอเหน็บปอยผมสีน้ำตาลแกมทองเข้าไว้หลังใบหูเธอจะใช้ท่าทางหว่านเสน่ห์เพื่อที่จะให้ได้คำตอบที่ต้องการก็ต่อเมื่อสถานการณ์บังคับให้ต้องกระทำเท่านั้น เธอรู้ดีว่าเพียงท่าทางที่แสดงออกมันไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ กับตนเอง ครั้งหนึ่ง พ่อเคยเปรียบเธอไว้ว่า เธอนั้นเหมือนไอศกรีมวานิลลา ราดหน้าด้วยอมาเรตโต้และน้ำเชื่อมคาราเมล .. !
“ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ” เธอยิ้มหวานเมื่อกาบส์กลับมาพร้อมด้วยมะนาวสดสองชิ้น เธอบีบน้ำจากชิ้นหนึ่งลงในแก้วชาดำเย็นที่หวานราวน้ำเชื่อม
“คุณคงไม่ใช่คนแถวนี้หรอกนะ..จริงไหม?”
ตอนแรก เธอก็ตั้งใจจะใช้คำพูดโป้ปดมดเท็จไปตามเรื่อง แต่จู่ๆ ความรู้สึกนึกสนุกมันก็หายไป
“ไม่ใช่หรอก ตอนนี้ ฉันอยู่แนชวิลล์ แม้จะเกิดในอินเดียน่าก็เถอะ”
“คุณอยู่แนชวิลล์เรอะ.. งั้นก็คงทำงานอยู่กับแกรนด์โอเล่ โอปราย ล่ะสินี่?”
เธอหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ใช่หรอก ฉันทำงานกับบริษัทเคเบิล ทีวีต่างหาก”
“เคเบิลทีวี..!” คราวนี้กาบส์เลิกคิ้วสูง และแอนดี้ก็ตัดสินว่ามันจะต้องเป็นการแสดงความแปลกใจอย่างมากที่สุดของเขา “คุณหมายถึงที่มันเป็นรายการโทรทัศน์ด้วยแบบนั้นใช่ไหม?”
“ใช่.. ค่ะ”
“งั้นก็แปลว่าคุณทำงานโทรทัศน์น่ะสิ”
“บางครั้งฉันก็มีรายการสัมภาษณ์ออกทางสถานีโทรทัศน์ข้ามประเทศอยู่เหมือนกัน”
“รายการสัมภาษณ์ด้วยงั้นเรอะ..?” เขามองเลยไหล่เธอออกไป และยังกวาดสายตามองไปตามใบหน้าลูกค้าคนอื่น ๆ อีกด้วย ราวจะมองหาใครบางคนเพื่อให้เธอเข้าไปขอสัมภาษณ์ได้ และทันใด เขาก็ตวัดสายตากลับมามองหน้าเธอราวนึกรู้อะไรขึ้นมาบางอย่าง
“นี่คุณคงไม่คิดที่จะมาขออนุญาตไลอ้อน เพื่อเข้าไปสัมภาษณ์พ่อของเขาหรอก.. ใช่ไหม?”
“นั่นละคือจุดประสงค์ของฉัน” แอนดี้ตอบหน้าตาเฉย
“ถ้าอย่างนั้น.. ก็หมายความว่าคุณไม่ได้มีเพื่อนร่วมชั้นที่เอสเอ็มยู..?”
“ไม่มีหรอก” เธอประสานสายตากับเขาอย่างไม่พรั่น
“ผมนึกแล้ว..” เขาร้องราวปรารภอยู่กับตัวเอง
“คุณคิดว่า.. มิสเตอร์แรทลิฟฟ์จะปฏิเสธไม่ยอมให้ฉันสัมภาษณ์พ่อของเขาหรือเปล่าคะ?”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีก แต่ถึงยังไงก็คงต้องหาความรู้กันหน่อยแล้วละ เพราะตอนนี้เขาก็กำลังเดินเข้าร้านมาแล้ว”
แอนดี้ลดสายตาลงมองวงกลมรอยก้นแก้วที่ประทับอยู่บนเคาน์เตอร์ พร้อม ๆ กับที่รู้สึกเบาโหวงขึ้นมาในช่องท้องเสียงกระดึงคอควายที่แขวนอยู่ตรงปากประตูกระทบกันดังลั่นเมื่อเขาผลักบานประตูนั้นเข้ามา
“เฮ้..ไลอ้อน.. ” เสียงใครคนหนึ่งร้องทักดังมาจากมุมร้าน
“ไลอ้อน..”ใครอีกคนหนึ่งร้องเรียกตามมา
“จิม.. พีท..” เขาทักทายกลับไปด้วยเสียงกร้าวลึกเสียงนั้นลอยมากระทบหูเธอ ราวเข็มแหลมที่ทิ่มแทงเข้าตรงกลางแผ่นหลัง ทั้งยังกระจายไปทั่วเรือนร่าง ชวนให้ขนลุก..
ก่อนหน้านี้เธอตั้งความหวังไว้ว่าเขาจะเดินมาทรุดตัวนั่งที่ม้ากลมหน้าบาร์ตัวใดตัวหนึ่งข้างเธอ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะช่วยให้ง่ายสำหรับการชวนสนทนา แต่เสียงฝีเท้าที่ใช้หูเงี่ยฟังอยู่กลับห่างไปทางด้านปลายสุดของบาร์ ซึ่งหมายถึงห่างจากที่เธอนั่งอยู่พอสมควร จากปลายหางตาเธอเห็นเพียงเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กับกาบส์ที่กำลังโน้มตัวเข้าไปหา