บทที่ 3
“เฮลโหล...พี่ใบไผ่ ทำไมวันนี้หน้าตาไม่ค่อยดีเลย”
เสียงทักจากคนไกล ทำให้สุคนธ์สินี ต้องลูบหน้าตนเองเบาๆ แล้วยิ้มส่งให้กับเพื่อนรุ่นน้องของเธอ พวกเธอติดต่อกันผ่านโปรแกรมแชทออนไลน์ ที่สามารถเห็นหน้ากันได้
“พี่คงเพลียๆ น่ะแจน เหนื่อยๆ พักนี้”
“เหนื่อยกับการดูแลคุณท่านน่ะหรือพี่ ที่พี่ว่าท่านป่วย แล้วทำไมไม่พาไปโรงพยาบาลล่ะ”
“คือ...มีหมอดูแลตลอดน่ะ อยู่ที่นี่ดีกว่าโรงพยาบาล ต้องให้อาการค่อยๆ ฟื้นตัวเอง”
เธอแอบหยิกมือของตัวเองไปด้วย ตามความเคยชิน เวลาที่จำต้องโกหก สุคนธ์สินีมักจะเผลอทำอาการเช่นนี้ จิตใต้สำนึกสั่งให้เธอลงโทษตัวเองที่ทำสิ่งไม่ดีลงไป
“อ้อ...ถ้าเหนื่อยก็ไม่เป็นไรน้า เราค่อยเม้ากันวันหลัง จะบอกว่า...ของที่พี่ส่งมาให้แจนน่ะ แจนปลื้มมาก มาม่ารสใหม่อร่อยมากมาย นี่แบ่งไปให้เพื่อนข้างห้องลองกินด้วยล่ะ ขานั้นถึงกับร้องว้าว...อยากไปไทยแลนด์”
“ไม่เหนื่อยจ้ะ พี่อยากคุยกับแจนมากกว่า เหงาๆ ด้วย”
สุคนธ์สินีรีบห้าม จินตวีร์เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอเลยก็ว่าได้ เธอไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้พูดคุยกับคนที่ทำให้เธอรู้สึกดี
เธอรู้จักเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ มาจากการเข้าไปหาหนังสือหายากตามคำสั่งมารดา เธอและสาวน้อยแย่งกันประมูลหนังสือเล่มนี้ แบบไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายเธอก็ชนะ ด้วยความที่สงสารสาวน้อยที่ว่าอีกฝ่ายคงจะอยากอ่านจริงๆ ส่วนของทางเธอ...มันก็แค่ของขวัญแสดงพาวเวอร์ แสดงว่าเธอใส่ใจกับผู้ชาย...คนที่แม่อยากให้เธอไปเอาใจมากขนาดไหน ก็เท่านั้น
เธอจึงยกให้กับจินตวีร์ สาวน้อยดีใจมาก และขอแลกสไกป์กับเธอ ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ก็สามปีแล้ว จินตวีร์อายุเพียงสิบห้าปี เรียนไฮสคูลอยู่ที่ต่างประเทศ สองสาวพูดคุยกันผ่านโปรแกรมออนไลน์เกือบทุกวัน ส่งของผ่านทวีปให้กันและกัน จนสนิทสนมและทางนั้นก็ยกให้เธอเป็นพี่สาวคนสนิท
“จริงสิ แจน...พี่มีเรื่องจะปรึกษา”
สุคนธ์สินีกัดริมฝีปาก ในที่สุด เธอก็ตกลงใจว่าบางที เธออาจจะอยากจะขอความเห็นจากเด็กสาว จินตวีร์ไม่ได้ความคิดอ่านเด็กเหมือนอายุของตน สาวน้อยผ่านอะไรมากมาก และใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังที่อเมริกา โดยมีผู้ปกครองส่งเสียค่าเทอมให้ สาวน้อยพูดถึงครอบครัวน้อยมาก บอกเพียงว่าตนมีพี่ชาย แต่ก็แทบจะไม่เล่าเรื่องของพี่ชายให้ฟังเลยสักเท่าไหร่
“เรื่องอะไรคะ แจนช่วยได้ ยินดีทุกอย่างเลย”
“พี่อยากมีลูก แต่พี่ไม่อยากมีสามี พี่...ทำกิฟท์ก็คงจะไม่สะดวกนัก พี่จะทำอย่างไรดีน่ะแจน”
“หืม? ไม่อยากมีสามี แล้วสามีของพี่ใบไผ่ล่ะ เอ่อ...ก็ตาลุงคนนั้นไม่ใช่หรือคะ” สุคนธ์สินีถึงกับครางออกมา เมื่อตนเองรู้ตัวว่ากำลังพูดอะไรออกไป
“โอย...จริงสิ”
“คือ...”
สาวน้อยกลืนน้ำลาย เธอมองหน้าหมองๆ ของสุคนธ์สินี ทางนั้นดูสับสนวุ่นใจอย่างไรพิกล ถ้าเธอจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ ก็คงจะไม่เหมาะนัก เธอควรจะให้คำปรึกษากับคนที่เธอรัก
“พี่ใบไผ่อยากมีลูกจริงๆ หรือคะ”
“คือ...”
สุคนธ์สินีไม่อยากโกหก และไม่เห็นว่าการบอกจินตวีร์จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งทำร้ายเธอได้อย่างไร เธอไว้ใจเด็กสาวมาก
“พี่ต้องมีลูกแจน พี่ต้องท้อง แล้วสามีพี่ก็...”
“พี่ใบไผ่...เอ่อ...โลกของผู้ใหญ่มันซับซ้อนเนาะ”
สาวน้อยทำหน้านิ่ว พยายามคิดว่าทำไมพี่สาวคนนี้ของเธอมีความจำเป็นอะไรขนาดถึงต้องตั้งครรภ์
“ซับซ้อนจริงๆ” สุคนธ์สินีหัวเราะแบบแกนๆ เธอถอนใจเฮือกใหญ่
“บางทีพี่ก็ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เลย”
“ถ้าพี่ใบไผ่อยากท้องก็ต้องมี...อืม...แฟน” สาวน้อยกระแอม
“จริงๆ แล้วแจนก็นับถือศาสนาพุทธนะคะ แนะนำอะไรแบบนี้ จะผิดไหมน้า”
“หึๆ ช่วยคนที่เดือดร้อนคงไม่ผิดมากหรอกจ้ะ แต่พี่ไม่อยากมีแฟนน่ะ แจน พี่ไม่อยากมีความสัมพันธ์แบบผูกมัดอะไรกับพ่อเด็ก เพราะพ่อเด็กจะต้องเป็นคุณชัชชัย”
“คือ...”
สาวน้อยกระแอมอีกหน ในวัยสิบห้าปี จินตวีร์รู้อะไรมากมายและลึกซึ้งยิ่งกว่าเด็กวัยเดียวกัน และยิ่งอยู่ในสังคมที่เปิดเรื่องเพศแล้วด้วย บางสิ่งเธอก็อาจจะโตมากกว่าพี่สาวคนนี้เสียอีก
“ถ้าแบบนั้น พี่ใบไผ่ก็ต้องหาคนทำแบบไม่เต็มใจผูกมัด มันมีอยู่แล้วนะคะพี่ ตามสถานที่เอ่อ...แบบว่า”
“แบบไหน?”
สุคนธ์สินีชักจะสนใจ สาวน้อยดูอึกอักเล็กน้อย แล้วก็แก้มแดงเรื่อ เมื่อเอ่ยชื่อสถานที่นั้นออกมา
“โฮสต์คลับน่ะพี่ใบไผ่ มันเป็นที่แบบว่าผู้หญิงๆ เค้าไปเที่ยวกัน เอ่อ...เที่ยวผู้ชายน่ะพี่”
“...”
สุคนธ์สินีกะพริบตาปริบๆ เรื่องนี้เหมือนเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ ต้องใจเลี้ยงเธอในแบบค่อนข้างจะเคร่งครัด ปิดโลกบางส่วนจากเธอ สุคนธ์สินีเพิ่งมีโอกาสได้มาเล่นแชท ติดต่อกับใครๆ บ้าง ก็เพิ่งจะสามปีนี้เอง คำว่าโฮสต์คลับ เอาจริงๆ แล้วเธอเพิ่งจะเคยได้ยินเลยก็ว่าได้
มันฟังแล้วน่าแปลกสำหรับหญิงสาววัยขนาดเธอ ที่บางอย่างก็ยังอ่อนโลกนัก ต้องใจ ‘ครอบ’ ลูกสาวคนนี้ไว้ให้เป็นได้อย่างใจ...ในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องการหาสามี สุคนธ์สินีเหมือนดินน้ำมันชั้นเลิศของเธอ ที่จะปั้นไปทางไหนก็ได้ตามแต่ใจ
ปั้น...ทุบ...บิด...
จนได้รูปร่างที่ตนเองคิดว่าต้องการ พอพลาด...ผิด...ก็เริ่มใหม่
ปั้น...ทุบ...บิด...
ราวกับสุคนธ์สินีเป็นตุ๊กตา และไร้หัวใจ สิ่งใดที่มารดาบัญชาสั่งมานั้น เธอต้องทำให้...ต้องทำได้...แม้กระทั่งเรื่องนี้
“เอางี้...แจนรู้จักอยู่ที่หนึ่งที่เมืองไทย เดี๋ยวจะส่งโลเคชั่นไปให้นะพี่ รับรองว่ามีแต่หล่อๆ ว่าง่าย แต่เงินพี่ต้องถึงด้วยนะพี่ใบไผ่ หาพ่อของลูกทั้งที ก็ต้องหาให้แบบว่าหล่อๆ หน่อยอะเนาะ” คนพูดย่นจมูก พลางอมยิ้ม
“แจนใส่ชื่อคนที่เลิศสุด ดังสุด คิวยาวสุดไว้ให้พี่ใบไผ่เลือกด้วยล่ะ บางคนก็ศัลยกรรมอะ อยากให้หลานหน้าตาดีๆ ฮี่ๆ”
“เอ่อ...พี่ควรทำแบบนั้นใช่ไหมแจน”
สุคนธ์สินีเม้มริมฝีปาก เห็นหน้าตาของเพื่อนรุ่นพี่แล้ว จินตวีร์นึกอยากจะไปอยู่ใกล้ๆ แล้วโอบบ่าอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม
“ถ้ามันจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ของพี่ใบไผ่ จ่ายแล้วจบ เราก็ควรจะทำนะพี่ อะไรที่มันเทาๆ มืดๆ น่ะ ไม่ค่อยมีคนสนใจหรอกแหะๆ”
“อืม...ขอบใจนะแจน”
เธอเอ่ยขอบคุณรุ่นน้อง จินตวีร์ยิ้มแหยส่งให้เธอ แล้วชวนเธอคุยไปถึงเรื่องอื่นบ้าง เพื่อให้สุคนธ์สินีเพลิดเพลินคลายความทุกข์ได้บ้าง
มือเรียวปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงนุ่ม เธอมองเพดานที่กรุด้วยลวดลายงดงาม ห้องนี้ตกแต่งด้วยสไตล์วิตอเรียนโทนสีฟ้าเทา โคมไฟแชนาเลียกลางห้องส่องประกายระยับงดงามยามเธอมองจ้องมัน ที่นี่ทุกอย่างสวยหรู สมกับฐานะที่เธอเป็น นั่นคือภรรยาของชัชชัย มหาเศรษฐีวัยหกสิบปี เขาหย่าขาดจากภรรยามานาน เป็นพ่อหม้ายเนื้อหอมฟุ้งเพราะสมบัติอันมหาศาลของตน แต่ไม่มีใครจับเขาอยู่มือ เธอเปรียบเสมือนเจ้าสาวนางซิน ที่มาหยิบชิ้นปลามัน แถมเขายังยอมจดทะเบียนสมรสกับเธอ ท่ามกลางความไม่พอใจอย่างยิ่งยวดของบุตรชายคนเดียว
ก็เธออายุแค่ 22 ปี
แถมยังเป็นเด็กฝึกงานในบริษัทของชัชชัย ก่อนจะเลื่อนขั้นก้าวกระโดดมาเป็นภรรยาเขา
มันไม่แปลกหรอกที่คนจะติฉินนินทาเธอ ว่าเธอนั้นใช้อะไรในการทำให้เขายอมจดทะเบียนและแต่งงานด้วย งานแต่งงานที่เรียกได้ว่า วิวาห์สุดเซอร์ไพรส์แห่งปีเลยก็ว่าได้
สุคนธ์สินียกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก เธอหลับตาลง ก่อนจะหัวเราะ...
เย้ยหยัน...ให้กับตนเอง
น้ำตาเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ร้องไห้...ให้กับอิสรภาพ และชีวิตของตนเอง
สักวันเธอคงจะเป็นอิสระ
พ้นจากทุกสิ่งที่พันธนาการเธอไว้
สักวัน...