บทที่ 2
สุคนธ์สินี ไกรกิตตินันท์
ร่างบางเพรียวหมุนตัวไปมาหน้ากระจกเงาบานสูง เธออยู่ในชุดราตรีสีนู้ด แบบสายสปาเก็ตตี้ ทำจากโลหะทองต่อร้อยกันและมาผูกกับตัวเสื้อ ที่เป็นแบบเสื้อคอวีค่อนข้างลึก อวดร่องอกอวบรำไร ผ้าซาตินเกาะรูปร่างอันสวยงามของเธอ มันดูเปิดเผย มากกว่าปกปิดอย่างที่ควรจะเป็น
เอวเล็กคอดคาดไว้ด้วยเข็มขัดสร้อยเพชรเส้นเล็ก แน่นอนว่าเป็นเพชรแท้ มันสะท้อนแสงไฟวูบวาบ ตัวชุดยาวกรอมเท้า แต่ผ่าสูงจนถึงขาอ่อน ทำให้คนสวมสวยเซ็กซี่มาก
แต่หน้าตาของเธอที่มองสะท้อนกลับมาจากกระจกบานนั้น มันช่างดูนิ่งเฉย ไม่สนใจอะไรกับความสวยงามน่ามองที่ปรากฏตรงหน้า ผิดกับผู้หญิงทั่วไปที่มักจะยินดีกับการที่ตนเองดูสวยงดงาม ในเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงระยับแบบนี้
ใบหน้ารูปหัวใจแต่งแต้มไปด้วย นัยน์ตากลมโตล้อมรอบด้วยขนตาดกหนางอนยาว มันทำให้ตาสีน้ำผึ้งนั้นราวกับดูวาววามหวานฉ่ำ จมูกโด่งเรียวเล็ก ริมฝีปากบางสวย เวลายิ้มจะเผยให้เห็นฟันเขี้ยวแหลมเล็กน้อยและลักยิ้ม เป็นเสน่ห์ที่น่ามองนัก
แต่รอยยิ้มสำหรับหญิงสาวคนนี้เหมือนเป็นของมีค่ามาก เพราะเจ้าตัวยิ้มจนนับครั้งได้...
“สวยมากๆ เลยค่ะคุณใบไผ่”
ช่างที่แต่งหน้าให้เธอออกอุทาน คำชมนี้ไม่ได้สร้างรอยยิ้มความภูมิใจใดๆ ให้กับเจ้าตัว หากคนปลื้มแทนกลับเป็นหญิงอีกคน ที่มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาพึงใจ
“ลูกสาวใครล่ะค่ะคุณแอม ลูกสาวตาลก็ต้องสวยเหมือนตาลอยู่แล้ว ขอบคุณนะคะที่สละเวลามา ทั้งที่งานตรึมมาก นี่ค่ะ...”
มือเรียวที่มีแหวนเพชรเม็ดใหญ่หลายกระรัต ล้อมด้วยทับทิมน้ำงานประดับไว้ ยัดซองใส่มือของช่างแต่งหน้า ที่กำลังดู ‘ลูกสาว’ ของเธอด้วยสายตาชื่นชม
“กราบขอบคุณมากๆ ค่ะคุณตาล นี่เป็นงานแรกที่น้องเค้าออกงาน ก็ต้องเต็มที่กันหน่อย เอ...แต่ไปกันแค่แม่ลูกหรือคะ สามีน้องใบไผ่ท่านไม่ไปด้วยหรือ”
รอยยิ้มที่แยกกว้างแจกให้กับช่างแต่งหน้า เหมือนจะหุบลงเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายเริ่มถามซอกแซก เธอหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือ
“ท่านขอนอนพักน่ะค่ะ เห็นบ่นว่าปวดหัว ก็เลยส่งยัยใบไผ่กับตาลไปแทน ให้เป็นตัวแทนท่านงานนี้”
“อ้อ...ค่ะ แต่แบบนี้จะมีคนจ่ายค่าเครื่องเพชรหรือคะ ไปกันแค่นี้”
แอมเริ่ม แอบหลอกถาม เพราะเรื่องของครอบครัวนี้ สังคมซุบซิบกระหายข่างภายในเป็นอย่างมาก เมื่อเธอมีโอกาสเข้ามาถึงถิ่น มีหรือจะไม่รายงานบอกใครต่อใคร
“ก็ต้องท่านสิคะ”
ต้องใจหัวเราะคิกคัก เธอโอบเอวแอม และชวนคุยสัพเพเหระ ก่อนจะพาออกไปจากห้องแต่งตัว ทิ้งสุคนธ์สินีไว้ตามลำพัง
สุคนธ์สินี ไกรกิตตินันท์สินะ ตอนนี้ฐานะที่เธอเป็น...
น้ำตาทำท่าจะหยาดลงมา แต่เธอป้ายไว้ทัน ไม่อย่างนั้นเมคอัพที่แต่งไว้อาจจะเลอะ มารดาจะต้องเข้ามาดุเธออีก ที่ทำเรื่อง
สุคนธ์สินีเป็นลูกสาวที่ทำแต่เรื่อง...ไม่จบไม่สิ้น
เธอต้องตอบแทนความไม่เอาไหน? ความที่ทำให้ท่านต้องลำบาก และ...เธอต้องเสียสละเพื่อบิดาที่กำลังป่วยหนักและต้องการเงินมหาศาลไปดูแล
‘แกเป็นคนสวย นังใบไผ่ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดของแกล่ะ พี่สาวแกนังใบฝนน่ะ สบายไปแล้ว เหลือแต่แกนี่ล่ะ นังลูกไม่เอาไหน แกต้องตอบแทนฉัน ดูแลพ่อแกให้ดีที่สุด’
คาถาบทนี้กระมัง ลูกไม่เอาไหน...ต้องตอบแทน...เธอแย่กว่าพี่สาว เธอต้องเสียสละ สุวรรณาไม่สวยเท่าเธอ อ่อนแอกว่าเธอ แต่เรียนเก่งกว่าเธอ ฉะนั้นสุวรรณาต้องได้เรียนดีๆ เพราะจะได้มีหน้าที่การงานดีๆ ส่วนเธอเรียนอะไรก็ได้ เพราะสุดท้ายเธอก็ต้องมีผัวดีๆ ร่ำรวยที่แม่เลือกให้อยู่ดี
ตกลงชีวิตของเธอหรือของใคร?
ผัวดีๆ ร่ำรวยที่แม่เลือกให้?
คิดมาถึงตรงนี้เธอก็ถอนใจ นามสกุลนี้ที่เธอได้มา...ก็เพราะมารดา...เพราะท่าน เธอถึงได้แต่งงานกับสามีของเธอ สามี...ที่ตอนนี้กำลังนอนป่วยไม่รับรู้อะไรอยู่ในห้องของเขา แต่ถูกปิดไว้เป็นความลับจากคนภายนอก อำนาจเงินเนรมิตได้ทุกอย่าง... ทุกสิ่ง
ผิดก็กลายเป็นถูก ถูกก็กลายเป็นพิษได้ เพียงแค่มีเงิน และไร้ซึ่งศีล จริยธรรม
เหมือนตัวเธอไง...หญิงสาวยิ้มหมิ่นให้กับคนในกระจก หลับตาลง พยายามท่องหนึ่งถึงร้อย ไล่ความรู้สึกต่างๆ ลงไป เธอจะต้องสวมหัวโขน หน้ากากนี้ไปนานอีกเท่าไหร่กันนะ มันทรมานเหลือเกิน
“นังใบไผ่”
เสียงแหลมๆ ของมารดาดังขึ้น เธอหันไปยิ้มนิดๆ ให้กับท่าน นัยน์ตางดงามนั่นหลุบต่ำ อย่างจะซ่อนประกายบางอย่างไว้
“ค่ะแม่”
“เรียบร้อยหรือยัง หล่อนเนื้อตัวโล้นๆ ไปหน่อยไหม? เดี๋ยวพวกนังคุณนาย คุณหญิง พวกไฮโซมันจะมานินทาพวกเราอีก”
“ก็เข็มขัดเส้นนี้ กับต่างหู ก็พอแล้วล่ะค่ะแม่”
เธอเอ่ยปัด เครื่องประดับบนร่างกายเธอมีเพียงแค่นั้น และแหวนแต่งงานที่เป็นเพชรเม็ดเดี่ยวห้ากระรัตบนนิ้วนางของเอ
“ตามใจย่ะ หล่อนยังวัยรุ่น ใส่ของพวกนี้เยอะไปมันก็ดูแปลกๆ มั้ง แต่รุ่นแม่ต้องประโคมกันนิดหนึ่ง สวยไหม แม่ไปไขตู้เซฟมา น่าจะของนังเมียเก่าของคุณชัช”
เธออวดสร้อยมรกตล้อมเพชรให้กับลูกสาวดู สุคนธ์สินีกลืนน้ำลาย เธอเพียงพยักหน้า
“สวยค่ะ”
“แม่เลยเอามาทิ้งๆ ไว้ในห้องแม่อีกสองสามชุด เลือกชุดที่เม็ดใหญ่ๆ ดูท่าจะแพงกว่าเพื่อน เอาไว้เผื่อให้แกใส่ออกงาน คนจะได้ไปเขียนข่าวกันว่า คุณชัชกับเมียวัยรุ่นรักกันมาก แล้วคืนนี้แกก็ยิ้มกว้างๆ หน่อยล่ะ วางตัวแบบเวลาออกงานกับคุณชัชเค้านั่นล่ะ”
“แม่คะ...ใบไผ่ไม่อยากให้แม่...ไปหยิบของจากเซฟมาเองน่ะค่ะ” เธอเอ่ยเสียงอ่อย มารดาหันมาค้อนแล้วทำตาโต
“ทำไมฉันจะหยิบไม่ได้ แกเป็นเมียทะเบียนของเค้า ส่วนของเค้าก็คือส่วนของแกตามกฎหมายนะนังใบไผ่”
“แต่ว่า...แม่อย่าลืมเรื่องสัญญาสิคะ” เธอถอนใจน้อยๆ
“ที่เอ่อ...คุณโชติ...”
“ไอ้ลูกชายนอกคอก ที่คุณชัชแทบจะตัดทิ้งไปจากกองมรดกน่ะเหรอ”
ต้องใจไหวไหล่ แล้วมองลูกสาวแบบหัวจรดเท้า
“ฉันจะให้เวลาแกอีกสามเดือนนะนังใบไผ่ แกจะต้องท้องให้ได้ แล้วเราค่อยปล่อยข่าวเรื่องคุณชัชป่วย”
“แม่คะ...” สุคนธ์สินีกลืนน้ำลาย พลางกะพริบตาปริบๆ กับคำขาดของท่าน
“แล้วใบไผ่จะทำยังไงล่ะค่ะ...ให้ได้ในสิ่งที่แม่...เอ่อขอ”
“วิธีมันมีเยอะแยะไป แกจะทำยังไงก็ได้ แต่อย่าให้เป็นข่าวปูดออกมาให้เสียหายล่ะ หรือจะไปทำกิฟท์ ทำเด็กอะไรก็ได้ เราจะสร้างทายาทให้กับคุณชัชกัน แล้วค่อย...คนแก่แล้ว อยู่ไปก็ทรมาน เราควรสงเคราะห์ไม่ใช่หรือ”
ต้องใจยิ้ม แต่นัยน์ตาของเธอนั้น กลับฉายแววอำมหิต ทำให้สุคนธ์สินีถึงกับขนลุก ต้องใจเดินเข้ามาใกล้บุตรสาว พลางกอดสุคนธ์สินีไว้ ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว...เบา...
“เลือกเอานะใบไผ่ จะทำตามที่แม่บอก หรือจะให้แม่ปล่อยให้พ่อแกตาย แม่ขึ้นมาถึงตรงนี้แล้ว ยังไงแม่ก็ไม่กลับลงไปอีกหรอก เลือกเอาลูกรักของแม่ แม่ยกให้แกเป็นลูกรักของแม่ ลูกที่แม่ภูมิใจ เพราะแกทำให้แม่ได้ทุกอย่าง”
เสียงกระซิบนั้นมันตอกย้ำเข้าไปในหัวใจของคนฟัง
สุคนธ์สินีเม้มริมฝีปาก เธอเพียงแค่พยักหน้า แล้วหลุบตาลง ปล่อยให้มารดาจูงเธอไปราวกับตุ๊กตามีชีวิต
ใช่เธอคือตุ๊กตา...
หุ่นเชิดที่มารดาจะเชิดจะชักไปทางไหน...
เธอก็ต้องทำ