ตอนที่ 3 ชีวิตคู่และเพื่อนบ้าน
ตอนที่ 3
ต้นยามเฉิน (07.00) หานเฟิงเสวียนลืมตาตื่นขึ้น มือข้างหนึ่งเอื้อมไปกอดข้างตัว แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า คาดว่าภรรยาของเขาน่าจะตื่นนอนออกจากห้องไปก่อนแล้ว
เขาจึงไม่รอช้ารีบหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ก้าวขาลงจากเตียง สายตาก็เหลือบไปเห็นเสื้อผ้าของเขาพับจัดวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย
“เจี้ยเอ๋อร์คงเตรียมเอาไว้ให้ น่ารักเสียจริง”
เฟิงเสวียนอมยิ้มอย่างมีความสุข ในเช้าวันแรกของการใช้ชีวิตคู่ เจี้ยเอ๋อร์ของเขาก็ดูแลเขาดีขนาดนี้ หากสหายเขารู้ต้องพากันอิจฉาเขาเป็นแน่แท้
ชายหนุ่มออกจากห้องเดินไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปยังห้องครัว คาดว่าภรรยาของเขาน่าจะอยู่ในนั้น
แล้วก็เป็นไปตามคาด ภรรยาแสนดีของเขา กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้าอย่างขะมักเขม้นและดูคล่องแคล่วเป็นการเป็นงาน
ตามใบหน้าและลำคอเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ แต่เขากลับไม่นึกรังเกียจ ตรงกันข้ามกับปลุกเร้าอารมณ์เสน่หาได้เป็นอย่างดี
ร่างหนาก้าวเท้าไปยืนซ้อนด้านหลังของผู้เป็นภรรยาโดยอัตโนมัติ พร้อมกับสองแขนที่โอบรอบเอวคอดกิ่วของอีกฝ่าย ปลายคางเกยอยู่บนไหล่ของอีกฝ่าย กลิ่นเหงื่อผสมกินอาหารปะทะเข้าจมูก จนต้องกลืนน้ำลายเสียงดัง
“น่ากินจัง”
“พี่เฟิงเสวียน ถอยออกไปก่อนเจ้าค่ะ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว”
จ้าวไป๋เจี้ย ตกใจเพียงเล็กน้อย ที่อยู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง แต่พอได้ยินน้ำเสียงกระเส่าของสามี อาการตกใจก็เปลี่ยนเป็นวาบหวาม ยิ่งลมหายใจผ่าวร้อนราดรดบนลำคอของนางด้วยแล้ว ยิ่งควบคุมอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นได้ยาก
“พี่ไม่ได้หมายถึงอาหาร” เสียงแหบพร่ากระซิบอยู่ข้างหู “พี่หมายถึงเจ้าต่างหาก”
...เพียะ...
คนที่ถูกสวมกอดฟาดฝ่ามือเล็กลงบนท่อนแขนที่โอบรอบเอวของนางแต่ไม่แรงมากนัก พร้อมกับเอ็ดขึ้นมา
“ท่านพี่พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่เอาแล้วออกไป ข้าจะรีบทำอาหารให้เสร็จ”
แต่มีหรือคนที่ถูกอารมณ์ดิบครอบงำแล้วจะยอมถอยง่าย ๆ กับเลื่อนริมฝีปากไปงับติ่งหู สร้างอารมณ์ซาบซ่านให้อีกฝ่ายยอมตามใจ
“อาหารไว้ทำทีหลังก็ได้ ตอนนี้พี่อยากกินเจ้าจริง ๆ นะ” น้ำเสียงของผู้ล่าเต็มไปด้วยความเว้าวอนขอความเห็นใจจากเหยื่อตัวน้อย
“แต่ว่า...” กวางน้อยเริ่มใจอ่อนเสียแล้ว
“ไม่มีแต่ ให้พี่กินเจ้าเถอะนะ พี่จะได้มีเรี่ยวแรงเข้าป่าล่าสัตว์”
จ้าวไป๋เจี้ยทนการออดอ้อนของสามีที่รักไม่ไหว จึงจำต้องวางมือจากการทำครัวก่อน ยอมให้อีกฝ่ายอุ้มพานางเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง
กว่าเขาจะยอมปล่อยตัวนางออกมา ก็เล่นเกือบหมดแรงที่จะทำกับข้าวต่อ แต่นางก็จำต้องฝืน เพราะวันนี้สามีจะต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์กับบรรดาสหายของเขา
ยังดีที่ว่าเหลืออาหารเพียงแค่อย่างเดียว การเข้าป่าของสามีจึงไม่ล่าช้ามาก
“ตอนเย็นพี่จะรีบกลับมานะ”
หานเฟิงเสวียน สะพายตะกร้าสาน ข้างในนั้นมีห่อข้าวที่ภรรยาผู้น่ารักจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก่อนออกจากบ้านเขายังไม่ลืมหอมแก้มภรรยาซ้ายขวาอยู่หลายรอบ จนผู้เป็นภรรยาต้องใช้มือดันแผงอกแกร่งเอาไว้
“พอได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่อยากไปเลย อยากอยู่ใกล้เจ้าทั้งคืนทั้งวัน”
คำออดอ้อนของสามี ยิ่งทำให้แก้มสาวแดงระเรื่อไม่หยุด ขืนอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน นางคงถูกเขาจับกินจนขาดใจตายก่อนแน่
“พี่เฟิงเสวียนไปได้แล้ว”
“ได้ ภรรยาพูดคำไหน สามีต้องทำตามอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มหอมแก้มภรรยาครั้งสุดท้าย ก็หมุนตัวเดินออกจากบ้านไปสมทบกับชายหนุ่มในหมู่บ้าน ที่จะออกไปล่าสัตว์เหมือนกัน ตลอดการเดินทางเขาถูกสหายพูดจากระเซ้าเย้าแหย่เรื่องการเข้าหอคืนแรก ซึ่งตัวเขาก็ไม่เถียง มีแต่ยิ้มรับ ภรรยาของเขางดงามขนาดนั้น ใครจะอดใจไม่กินไหวกันเล่า
เมื่อสามีออกจากบ้านไปแล้ว จ้าวไป๋เจี้ยก็ไม่ได้ทำตัวเกียจคร้าน ลงมือเก็บกวาดบ้านของสามีให้ดูสะอาดสะอ้าน เพราะปกติตอนที่เขาอยู่คนเดียวก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก
กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายของวันแล้ว ถึงแม้ตอนอยู่ที่บ้านเดิม นางจะไม่ต้องลำบากทำงานพวกนี้ เพราะมีสาวใช้จัดการให้ทุกอย่าง แต่ตัวนางก็เริ่มหัดเรียนรู้งานพวกนี้ ตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจคบกับสามีแล้ว หลังออกเรือนมา นางจึงทำหน้าที่ของแม่ศรีเรือนได้เป็นอย่างดี
“เสร็จเสียที”
มือเรียวปาดเหงื่อ หลังจากกวาดเศษใบไม้ที่ลานหน้าบ้านเสร็จ นี้ก็เลยเวลาอาหารมาพอสมควรแล้ว จึงไม่แปลกที่ท้องของนางจะส่งเสียงประท้วงดังขนาดนี้
ระหว่างที่คิดจะเข้าไปหาอะไรกินในครัว เสียงใจดีมีเมตตาของใครบางคนก็ร้องทักขึ้นมาเสียก่อน นางจึงจำเป็นต้องหันกลับไปเผชิญหน้า
“แม่หนู”
ปรากฏว่าผู้ที่เข้ามาทักทายเป็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มของมิตรภาพ เห็นเช่นนี้ไป๋เจี้ยเองก็ยิ้มหวานรับมิตรภาพของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ภรรยาของเฟิงเสวียนใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ เจียเจี้ยคารวะท่านป้า”
“หน้าตาน่ารัก พูดจาก็ไพเราะเป็นโชคดีของอาเฟิงแล้วที่มีภรรยาอย่างแม่หนู”
‘หลี่ซูเซียว’ เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับบ้านสกุลหาน มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู เพราะได้ยินข่าวลือมาว่าเจ้าสาวของอาเฟิงเป็นลูกของผู้ดีมีเงิน จึงนึกว่าจะหยิบจับทำอะไรไม่เป็น แต่ที่ไหนได้ตั้งแต่เช้าจนถึงปานนี้ อีกฝ่ายกลับทำงานบ้านยังไม่หยุดมือ จนเลยเวลากินข้าวเที่ยงมาแล้ว
“บ้านป้าอยู่หลังติดกันนี้เอง ป้าเห็นแม่หนูทำงานจนไม่ได้กินข้าวเที่ยง พอดีป้าต้มน้ำแกงไก่ป่าเอาไว้ เลยตั้งใจจะตักมาแบ่งให้นะ”
หลังจากแนะนำตัวว่าตนเองเป็นใครแล้ว หญิงวัยกลางคนก็ก้มลงมองมือของตนเองปรากฏว่าลืมถ้วยน้ำแกงไก่ป่าเอาไว้ข้างในบ้าน
“ตายจริง ลืมถือออกมาด้วย...อาหยาง ๆ ยกแกงไก่ป่าออกมาให้แม่หน่อยลูก”
หลี่ซื่อร้องตะโกนเรียกบุตรชายเพียงคนเดียว ให้ยกน้ำแกงออกมาให้ พลางบอกเล่าประวัติของตนเองให้เพื่อนบ้านคนใหม่ฟัง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอ
“สามีป้าตายไปหลายปีแล้ว ยังดีที่ทิ้งบุตรชายเอาไว้ให้หนึ่งคน แทนที่จะสบายใจ เปล่าเลย กลับกลุ้มใจเข้าไปใหญ่ อายุอานามปานนี้แล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีหญิงสาวคนไหนมาสนใจเลย”
จ้าวไป๋เจี้ยเองไม่ใช้คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว แต่เห็นหญิงวัยกลางคนพูดเองเออเอง นางจึงยืนยิ้มรับฟังอยู่เงียบ ๆ โดยที่หญิงวัยกลางคนก็ยังพูดเรื่องบุตรชายของนางต่อไป
“หากตอนเด็กเขาไม่ตามพ่อของเขาเข้าป่า เขาก็จะไม่ถูกเสือทำร้าย จนใบหน้ามีรอยแผลเป็นแบบนี้หรอก หากไม่มีรอยแผลเป็นนะอาหยางของป้าน่าจะหล่อพอ ๆ กับอาเฟิงเลยแหละ”
หลี่ซื่อบอกเล่าประวัติของตนเองกับบุตรชายไป ทอดถอนใจไป ชาตินี้ทั้งชาตินางไม่รู้จะมีลูกสะใภ้ มีวาสนาได้อุ้มหลานกับเขาบ้างหรือเปล่า
“นั่นไง อาหยางออกมาแล้ว”
ไป๋เจี้ยหันไปมองตามสายตาของหญิงวัยกลางคนที่เข้ามาผูกมิตร ก็เห็นบุรุษรูปร่างกำยำ อายุอานามน่าจะพอ ๆ กับสามีของนาง ใบหน้านั้นเกลี้ยงเกลาไม่มีหนวดเคราให้รกลูกตา แต่ที่ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูน่ากลัว เพราะรอยเล็บเสือที่พาดผ่านตั้งแต่คิ้วซ้ายลงมาจนถึงปลายคางด้านขวามันมองเห็นได้ชัด ปิดบังความหล่อเอาไว้ หนำซ้ำเจ้าของรอยแผลเป็นยังทำหน้าบึ้งตึงและหลบสายตานางแปลก ๆ
“น้ำแกงไก่ป่ามาแล้วท่านแม่”
หลี่ซื่อยื่นมือออกไปรับถ้วยแกงจากมือของบุตรชาย นำมายื่นให้หญิงสาวตรงหน้า ที่ยื่นมือออกมารับถ้วยน้ำแกงไก่ป่าไปถือเอาไว้
จังหวะนั้นบุตรชายของนางก็รีบหมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปทำงานหลังบ้าน นางจึงรีบคว้าตัวของเขาให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงงามก่อน
“อาหยาง นี่ภรรยาของอาเฟิง ส่วนแม่หนูนี่บุตรชายป้า มีอะไรหรืออยากได้ความช่วยเหลือ เรียกใช้เขาได้เลยนะลูก”
“เจียเจี้ย คารวะพี่หยาง” จ้าวไป๋เจี้ยยอบกายลงทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่ก้มศีรษะตอบรับ แล้วรีบเดินกลับบ้านของเขาไป โดยไม่พูดจาอันใดเลยแม้แต่คำเดียว...