นายตามฉันมาทำไม
“นี่จะทวงบุญคุณกันเหรอพ่อ”
“ฉันไม่ได้จะทวงบุญคุณ แค่บอกให้รู้ว่าถ้าฉันไม่สนใจฉันคงไม่ทุ่มเทให้แกขนาดนี้”
“ก็แค่เศษเงินของพ่อ และเรื่องพวกนี้ก็อย่าคิดว่าเป็นบุญเป็นคุณกันจะดีซะกว่านะฮะ ที่จ่ายมาให้ก็เป็นค่าเลี้ยงดูตามกฎมายที่พ่อสมควรต้องจ่ายให้ผมอยู่แล้ว น้อยจะได้มีประเด็นเอาไปโม้ให้พวกในสังคมของพ่อได้สรรเสริญบ้าง” เด็กหนุ่มประชดแดกดัน
“อึก...ปากแก่นี่มัน...” เจ้าสัวศักดิ์ดารู้สึกเคืองกับคำพูดแทงใจดำของลูกชาย แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะที่ผ่านมาเขาผิดจริง
“ทำไม? จะโกรธและลงโทษผมด้วยการตัดเงินเดือนรึไง บอกไว้เลยว่าผมไม่แคร์เงินของพ่อ และไม่แคร์กับการที่ต้องตัดขาดตัวเองจาก ‘โรจน์พาณิชย์’ ของพ่อด้วยเหมือนกัน”
“ว่าไงนะ?!”
“ตอนนี้ได้ลูกชายคนใหม่แล้วนี่...หึ เมียใหม่ก็ได้ ลูกชายคนใหม่ก็ได้ เป็นตาแก่นิสัยรวยนี่มันดีจริง ๆ เลยนะพ่อ”
“ไอ้ทิม นี่แกจะหยุดได้รึยัง...”
“โอเค ถ้างั้นผมไปดีกว่าขืนทนนั่งมองหน้ากินข้าวด้วยกันอย่างนี้ต่อไปก็ไม่สนุกแล้ว ผมกินอะไรไม่ลง ตอนนี้ไม่อยากแม้แต่จะนั่งร่วมวงด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณที่มางานจบการศึกษาของผม แต่จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งถ้าไม่โผล่หน้ามาให้เห็นอีก ขอตัวนะก่อนครับ!”
เด็กหนุ่มตัดบทก่อนลุกขึ้นเดินหนีออกไปจากร้าน โดยไม่สนใจแม้เสียงเรียกของผู้เป็นพ่อ
“ครอบครัวแสนสุข?! ตลกสิ้นดี! ถ้าไม่ติดว่าใส่ยูนิฟอร์มของสถาบันอยู่ละก็ คงได้โก่งคออ้วกให้ดูกลางโต๊ะอาหารจริง ๆ ไปแล้ว!” เด็กหนุ่มร่างสูง เหวี่ยงขาเตะอากาศอย่างหัวเสีย
เขาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อกดตัดสายเรียกเข้าของบิดาที่โทร.ตาม ก่อนทำการปิดเครื่องเพื่อตัดการติดต่อของบิดาเพื่อตัดรำคาญ
ระหว่างนั้นทิมหยุดเดินอย่างกระทันหันเพื่อค้นหาหูฟังมาใส่หูหมายฟังเพลงบรรเทาความขุ่นมัวในใจ
ทว่าการหยุดฝีเท้ากระทันหันทำให้คนที่วิ่งมาด้านหลังชนเข้ากับร่างสูงของเขาอย่างจัง
ปึก! ตุบ!
“อูยยยย”
“ขอโทษครับ คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย?” เด็กหนุ่มรีบหันหลังและถามไถ่อาการของคู่กรณีที่มาชนเขาเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องปาก เนื่องด้วยเข้าใจว่าฝ่ายที่ชนเป็นชาวต่างชาติ
แต่ก็รีบชักสีหน้าทันทีหลังเห็นว่าคนที่มาชนเป็นใคร
“ไอ้เปี๊ยก! นายตามฉันมาทำไม?!” ทิมทำหน้าบึ้งตึงใส่เด็กผู้ชายตัวเล็กจ้อย ที่จำได้ทันทีว่าเป็นไอ้เด็กแว่นลูกชายคนใหม่ของพ่อเขา
“คือ คือว่ามีน มีน...”
“อะไรของนาย! จะพูดอะไรก็รีบๆ พูดมา อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ได้ ฉันไม่มีเวลามายืนเสวนากับไอ้เด็กกาฝากนักหรอกนะ แค่นี้ก็เหม็นสาบลูกกาฝากเกินทนแล้ว” เขากระแทกเสียงถามอย่างอารมณ์เสีย
“ม-มีนขอโทษนะครับ ที่เป็นสาเหตุทำให้พี่ชายทะเลาะกับคุณลุง” เด็กชายบอกเสียงแผ่วทั้งที่ยังก้มหน้าไม่กล้าสบตากับเขา
“รู้ตัวก็ดี แต่ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเคยมีน้องชายกับเขาด้วย ใครใช้ให้นายเรียกฉันว่า ‘พี่ชาย’ มิทราบ ฉันไม่มีวันนับญาติกับไอ้เด็กกาฝากน่ารำคาญอย่างนายจำใส่หัวสมองเอาไว้ จะไปไหนก็ไป!” ทิมออกปากไล่ และสาวเท้าเดินหนี
แต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงรั้งชายเสื้อของเขาไว้ จนต้องหันกลับไปตวาดใส่และปัดมือเด็กชายให้พ้นตัว
“จะทำอะไรวะ? อย่าคิดว่าเป็นลูกชายคนโปรดของตาแก่นั่น แล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรแกนะ ไอ้เปี๊ยก---อะไร นี่มันอะไร?” เด็กหนุ่มหยุดโวยเมื่อเด็กชายยื่นซองกระดาษในมือของเธอให้เขา
“อันนี้มีนทำมาให้พี่ชายครับ”
“อะไร”
“ยินดีด้วยที่เรียนจบนะครับพี่ชาย” เด็กชายขยับแว่นตาอย่างเหนียมอาย ขณะยื่นการ์ดแสดงความยินดีที่ตั้งใจทำด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนที่อยู่เมืองไทย
โดยหมายใจว่าความตั้งใจจริงจะทำให้พี่ชายคนใหม่พอใจ
ทว่า
แคว่กกกก
ทิมมองกระดาษที่ถูกประดับด้วยรูปวาดดินสอและริบบิ้นสีสวยอย่างไม่ไยดีที่จะเปิดอ่าน เขาฉีกมันเป็นชิ้นๆ ก่อนขยำแล้วปาก้อนเศษความตั้งใจใส่หน้าเด็กชายเจ้าของการ์ดประดิษฐ์ที่ยืนหน้าตกใจกับการกระทำร้ายกาจของเขา
“อย่าริสะเออะ มาทำตัวตีสนิทกับฉัน จำใส่สมองไว้ด้วย ว่าฉันไม่ใช่พี่ชายของแก! แกมันก็น่าขยะแขยงเหมือนแม่ของแกนั่นแหละ ไอ้เด็กกาฝาก!”
เด็กหนุ่มรูปหล่อเค้นน้ำเสียงเอ่ยวาจาร้ายกาจออกมาอย่างไร้ไมตรี สายตาของเขาแข็งกร้าว และสาวเท้าเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเด็กผู้ชายที่ก้มลงเก็บเศษซากของการ์ดกระดาษที่ถูกฉีกทิ้งด้วยความผิดหวังเสียใจ
“น้องชายงั้นเรอะ?! ใครสนเรื่องนั้นกัน น่าขยะแขยงเป็นบ้า!” เด็กหนุ่มคว่ำปากเหยียดหยัน
ยิ่งเห็นใบหน้าใสซื่อกับท่าทีไร้เดียงสาของเด็กคนนั้นก็ยิ่งอยากที่จะบดขยี้รอยยิ้มไร้พิษภัยนั่นให้แหลกคามือ!
และนั่นคือความทรงจำในการพบอย่างเป็นทางการของพวกเขาทั้งคู่ ที่ซึ่งมีความเกลียดชังเป็นจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาด
ความเจ็บแค้นใจแทนแม่ที่เสียชีวิตไป ทำให้ทิมกลายเป็นคนแข็งกระด้าง ปากร้าย เอาแต่ใจ และขวางโลก
เขามักมีปากเสียงกับพ่อเสมอ และไม่ลงรอยกันมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ไม่ยอมรับแม่เลี้ยงกับน้องชายคนใหม่ ซ้ำยังตั้งตัวเป็นปรปักษ์ แสดงออกว่าชิงชังรังเกียจคู่กรณีอย่างเปิดเผย
เพราะคิดอยู่เสมอว่าสองแม่ลูกที่พ่อของเขารับอุปการะ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แม่ของเขาต้องตรอมใจตาย
การที่สามีภรรยา หมดรักและไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ จนกระทั่งลงเอยด้วยการหย่าขาด นั่นเป็นสิ่งที่ทิมสามารถยอมรับและเข้าใจได้
แต่ที่เขารับไม่ได้ก็คือ การที่เจ้าสัวศักดิ์ดา ผู้ซึ่งรู้ดีแก่ใจว่า ทิพย์นภา ภรรยาที่เป็นคู่ทุกคู่ยากของเขา กำลังป่วยใกล้ตายด้วยโรคร้าย แต่ยังเลือกที่จะละเลยทอดทิ้ง โดยไปขลุกเสพสุขอยู่กับบุษบาเลขาฯ สาวส่วนตัว ที่ใช้มารยาหญิงยั่วยวนให้เศรษฐีใหญ่หลงหัวจนโง่หัวไม่ขึ้น