ชอบ ‘แย่ง’ ชอบ ‘แทรก’
มุมหนึ่งภายในภัตตาคารหรูใจกลางเมือง
บุคคลทั้งสี่จากครอบครัวมหาเศรษฐีเมืองไทย กำลังนั่งร่วมโต๊ะด้วยบรรยากาศที่อึมครึม
ทิมใช้หางตาปราดมองสองแม่ลูกอย่างดูแคลน
แม้คนที่เรียนจบจากสถาบันการศึกษาที่สอนเรื่องมารยาทการวางตัวเป็นผู้ดีและให้เกียรติผู้อื่นเสมอ จะตระหนักแก่ใจว่าสิ่งที่ตนกำลังทำเป็นมารยาทที่น่ารังเกียจมากแค่ไหน
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เกี่ยงที่จะแสดงท่าทีไร้มารยาทเช่นนี้ออกมาให้สองแม่ลูกคู่นี้ได้เห็น และสำเหนียกว่า เขานั้นชิงชังพวกกาฝากเหล่านี้มากแค่ไหน
บุษบาที่เป็นแม่เลี้ยงคนใหม่ ทิมมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า และเดาว่าหล่อนคงมีลูกตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย เพราะตอนนี้ยังดูสาวและสะสวยจนน่าทึ่ง
ไม่แปลกใจเลยที่ตาแก่ตัณหากลับพ่อของเขา จะติดพันหลงแม่ม่ายลูกติดคนนี้จนโงหัวไม่ขึ้น
ส่วนไอ้เด็กผู้ชายหน้าจืดลูกชายของแม่เลี้ยง
เท่าที่รู้ดูจากรูปร่างหน้าตา ก็คงจะอายุน้อยกว่าเขาราว ๆ 6-7 ปี โดยประมาณตามที่เจ้าสัวศักดิ์เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนที่แนะนำตัวครั้งแรก
‘ชื่อมีนงั้นเหรอ อ่อนปวกเปียกยังกับผู้หญิง!’
“หึ...” ทิมแสยะยิ้มหยัน
เป็นเด็กผู้ชายตัวขาวซีด ตัวเล็ก ผอม ๆ สวมแว่นตาหนาเตาะ เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ท่าทางเงอะงะ ประหม่าขี้อายจนน่าหงุดหงิด
‘น้องชาย? ไร้สาระสิ้นดี’
สมัยเด็กเขามักถูกคนรอบข้าง ถามไถ่อยู่เสมอว่าอยากได้น้องชาย น้องชาย กับเขาสักคนบ้างไหม
ตอนนั้นด้วยความไร้เดียงสาจึงตอบส่งๆไปว่า
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากสัมผัสประสบการณ์ของการเป็นพี่ชาย ที่มีน้องร่วมสายเลือดเหมือนคนอื่นสักคน เพราะเพื่อนรอบข้างต่างก็มีพี่น้องกันหมด
แต่ไม่คิดว่าพ่อจะบ้าจี้ หาน้องมาให้เขาได้จริง ๆ
ทว่า เป็นน้องชายต่างสายเลือด ที่ท่าทางอ่อนปวกเปียกน่ากลั่นแกล้งให้ร้องไห้ไปฟ้องพ่อพ้องแม่ซะไม่มี
และไม่ต้องบอกก็คงจะพอรู้ว่าความผูกพันของสายใยระหว่างพี่น้องนั้น
ไม่มี!
“ลงทุนถ่อมาหาถึงที่นี่ เพื่อจะพาครอบครัวใหม่มาเปิดตัวกับผมงั้นเหรอ” เด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จากับใครมาพักใหญ่
ในที่สุดยอมเปิดปากพูด
“เข้าใจผิดแล้วค่ะ ที่พวกเรามาก็เพราะตั้งใจมาแสดงความยินดีกับคุณทิมที่เรียนจบไฮสคูลแล้วเท่านั้น” บุษบารีบแก่ต่างแทนสามี
“เข้าใจว่าเป็นพวกชอบ ‘แย่ง’ ชอบ ‘แทรก’ จนติดเป็นนิสัย แต่ตอนนี้ผมกำลังคุยกับพ่อของผมอยู่ เพราะงั้นขอความกรุณา ‘คนอื่น’ อย่าเพิ่งสอดแทรกเข้ามาจะได้มั้ยครับ คุณผู้หญิง”
เด็กหนุ่มนั่งกอดอกค่อนแขวะแม่เลี้ยงกิริยาด้วยวาจาเหลือร้าย โดยไม่แม้แต่จะเปรยตามองคู่สนทนา
คำพูดและอากัปกิริยาของเขาทำให้แม่เลี้ยงสาวหน้าถอดสีรีบเอ่ยขอโทษแทบไม่ทัน ร้อนถึงเจ้าสัวศักดิ์ดาต้องรีบเอ่ยปากออกโรงปกป้อง
“ให้มันไว้หน้ากันบ้างนะเจ้าทิม อย่าพูดจาก้าวร้าวผู้ใหญ่” เจ้าสัวศักดิ์ดา ตำหนิลูกชายเสียงแข็ง
“หึ สันดานปากเสียของผมก็เป็นของผมอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ในฐานะพ่อ คุณก็น่าจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไง อะไรที่ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ อะไรที่เกลียด ต่อให้พยายามยัดเยียดให้แค่ไหนก็ไม่เอาอยู่ดี!”
“ฉันเหนื่อยที่จะเถียงกับแกแล้วนะไอ้ลูกคนนี้ เรื่องนี้มันผ่านมาหลายปีแล้ว แกควรทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่เสียที...”
“ผมก็เบื่อจะคุยกับพ่อเหมือนกัน!” ทิมโพล่งขึ้นเสียงกร้าว
“ผมไม่เหมือนพ่อที่ลืมอะไรง่าย ๆ ได้ใหม่แล้วลืมเก่า จะให้ลืมง่าย ๆ ได้ไง ผู้หญิงคนที่ถูกพวกคุณทำร้ายจนต้องตรอมใจตายเธอเป็นแม่แท้ ๆ ของผม!”
“แม่แกป่วยตาย อย่ามาโทษคนอื่น แกควรทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ที่ยอมรับความจริงให้มากกว่านี้”
“เหอะ! มันก็จริงที่แม่ป่วยและโอกาสรอดแทบไม่มี แต่อย่างน้อย ๆ พวกคุณควรเมตตาแม่ผมบ้าง ยังไงก็เป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ควรให้ก่อนตายเธอได้มีความสุขบ้าง ไม่ใช่ตายไปด้วยความเจ็บปวดใจจากการถูกสามีตัวเองทรยศหักหลัง!” เด็กหนุ่มแดกดันด้วยความชิงชัง
“แกควรอยู่กินข้าวกับพวกเราก่อน เจ้าทิม พวกเราอุตส่าห์นั่งเครื่องบินข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมายินดีกับแก นี่เป็นโอกาสดี ๆ ที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน”
“พอเหอะพ่อ! ใครมันเป็นครอบครัวของใครไม่ทราบ?! ผมต้องซึ้งบีบน้ำตาให้ไหลออกมาด้วยมั้ย ที่แห่แหนดาหน้ากันมาสร้างภาพครอบครัวที่สุขสันต์ถึงที่นี่”
“ฉันไม่ได้ขอให้แกบีบน้ำตา แค่ขอให้นั่งกินข้าวด้วยกันสักมื้อในฐานะครอบครัว...” เจ้าสัวศักดิ์ดาพยายามพูดอย่างใจเย็น
“เลิกพูดคำซะทีเถอะพ่อ ไอ้คำว่า ครอบครัวบ้าบออะไรเนี่ย ได้ยินแล้วผมอยากจะอ้วก! พ่ออยากจะเพิ่มจะนับใครเป็นคนในครอบครัวของพ่อก็เชิญตามสบาย แต่อย่ามานับรวมผมเข้าไปเอี่ยวด้วยเด็ดขาด!”
“เจ้าทิม! นี่ฉันกำลังพูดกับแกดี ๆ อยู่นะ”
“จะปั้นคำพูดสวยหรูทำตัวเป็นพ่อที่ใจดีไปเพื่ออะไร ในเมื่อพฤติกรรมที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ทำให้ลูกคนนี้รู้สึกว่าคุณเป็นพ่อที่ดีสักเท่าไหร่”
“แต่ฉันจ่ายเงินค่าเทอมและค่าเลี้ยงดูแกไปตั้งเยอะ ที่แกได้เรียนโรงเรียนดี ๆ ได้ซื้อข้าวของ ได้ไปเที่ยวประเทศต่าง ๆ มันก็เงินของฉันทั้งนั้น”