ตอนที่ 3 - 1 จากนักเรียนสู่นักแสดงตัวประกอบจำเป็น
ทางด้านสองพี่น้องที่จู่ๆ วันนี้ผู้เป็นพี่สาวก็นึกใจดีไปรับน้องชายถึงโรงเรียน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่เคยคิดจะไปโผล่หน้าให้เห็น แบม ภูวดลหันไปมองใบหน้าสวยของคนที่กำลังตั้งใจขับรถเก๋งยี่ห้อดังที่บิดาออกให้เนื่องจากอายุครบยี่สิบปี
“คิดยังไงวันนี้มารับผมที่โรงเรียน”
สารถีที่กำลังตั้งใจขับรถอยู่หันมามองใบหน้าหล่อเหลาของน้องชาย ก่อนที่จะส่งยิ้มหวานให้ แบม ภูวดลรู้สึกขนลุกกับรอยยิ้มของพี่สาว เพราะถ้าบี๋ พิชสินีย์ส่งยิ้มแบบนี้มาให้ เธอมักจะมีเรื่องเดือดร้อนมาขอให้เขาช่วยเหลือเสมอ
“คืองี้…. พอดีที่กองถ่ายอะ เขาขาดตัวประกอบในฉากที่พี่ต้องแสดง เขาต้องการเด็กหนุ่มๆ ที่มีส่วนสูงเท่านี้ แล้วก็ต้องอยู่ในวัยเรียน ยิ่งมัธยมยิ่งดี พี่เลยคิดว่าเข้าข่ายน้องชายของพี่พอดี น๊า…. ช่วยพี่หน่อยนะ ไม่อย่างนั้นวันนี้พี่ไม่ได้ถ่ายแน่ๆ พรุ่งนี้พี่ไม่ว่างแล้วด้วย มีสอบ” บี๋ เริ่มบอกเหตุผลที่มารับน้องชาย
“ไม่อะ… พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แค่ที่โรงเรียนก็พอแล้ว” เขาปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
“แบม…. ช่วยพี่เหอะนะ พี่ขอ…. เขาไม่ได้ถ่ายเห็นหน้าตรงๆ เขาเอาแค่ด้านข้าง น๊าๆๆๆ ไม่มีใครจำได้หรอก เรื่องนี้เป็นละครเรื่องแรกของพี่ นะ…น๊า…..”
นักแสดงสาวหน้าใหม่พยายามเกลี้ยกล่อมผู้เป็นน้องชาย เพราะวันนี้ตัวประกอบที่นัดไว้เกิดอุบัติเหตุกะทันหัน และฉากนี้ก็ไม่สามารถเลื่อนไปถ่ายวันอื่นได้ แบม ภูวดลรู้สึกคิดหนัก เขาไม่ชอบเป็นที่รู้จัก แต่เขาก็รู้สึกเห็นใจพี่สาวอยู่ไม่น้อย เพราะละครเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของเธอ ด้วยความรักพี่ที่มีมากกว่าเขาจึงตอบตกลง
“แค่ฉากเดียวใช่ไหม”
“อืม…. ฉากเดียว น๊าๆๆๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งอยู่ทางข้างหลังตัวเอกแค่นั้น”
บี๋ พิชสินีย์หันมามองหน้าเขาอย่างลุ้นๆ ก่อนที่จะหันใบหน้างามกลับไปสนใจท้องถนนเบื้องหน้าต่อ
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แต่แบมช่วยพี่บี๋ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ถ้าเรื่องอื่นผมจะไม่ว่าเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ผมไม่ไหวจริงๆ”
ชายหนุ่มบอกพี่สาวเสียงเข้ม นักแสดงสาวหน้าใหม่ถึงกับร้องไชโยออกมาพร้อมกับปากที่พร่ำเอ่ยขอบคุณน้องชายที่ยอมช่วยแก้ปัญหาในครั้งนี้
สองพี่น้องเดินทางไปถึงกองถ่ายโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน เพราะจากโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ไปถึงกองถ่ายไม่ถึงยี่สิบกิโลเมตร พี่โบวี่ ผู้จัดการส่วนตัวของบี๋ พิชสินีย์ที่รออยู่กองถ่ายก่อนแล้วออกมาต้อนรับ เธอรีบพาสองพี่น้องเข้าไปแต่งหน้าทำผม และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าฉาก แบม ภูวดล กลายเป็นที่สนใจของช่างภาพ ผู้จัดละคร หรือแม้แต่ผู้กำกับเองก็ดูจะชื่นชมเด็กหนุ่ม ผู้จัดการส่วนตัวของบี๋ พิชสินีย์อดที่จะเอ่ยปากชวนน้องชายของนักแสดงสาวในการดูแลเข้าวงการไม่ได้
“น้องแบมคะ ไม่สนใจเข้าวงการกับพี่บี๋บ้างหรอ เนี่ย...ผู้กำกับกับ กับพี่ตากล้องเอ่ยชมเราไม่หยุดเลย ขนาดไม่มีบทพูดแค่นั่งอยู่เฉยๆ ยังขึ้นกล้อง ราศีพระเอกจับเลยนะ”
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่ถนัดเรื่องการแสดงออกเท่าไหร่” เขาปฏิเสธโดยไม่ต้องใช้เวลาคิด
“ไม่เก็บเอาไปคิดสักหน่อยหรอ”
เธอก็รู้ดีว่าตระกูลปรีชารักษ์นั้นร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องให้ทายาทเข้าวงการก็มีเงินใช้ไปทั้งชาติ ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับความชอบจริงๆ และดูท่าทางเด็กหนุ่มคนนี้มีแววก็จริง แต่เขาก็ไม่มีความชอบในด้านนี้
“โอ๊ย… พี่โบวี่ อย่าเสียเวลาเลยค่ะ นี่ขนาดมาวันนี้บี๋ยังต้องขอร้องน้องเกือบตาย”
บี๋ พิชสินีย์ที่เพิ่งไปเปลี่ยนชุดกลับมาใส่ชุดนักศึกษาชุดเดิมเอ่ยขึ้นหลังจากเดินกลับมาหาน้องชายแล้วได้ยินประโยคเชิญชวนเข้าวงการพอดี
“แหม… เสียดายของ หน้าตาดีทั้งบ้านจริงๆ เลยนะคะบ้านเนี้ย”
ผู้จัดการสาวอดที่จะเสียดายไม่ได้ แต่ในเมื่อสองพี่น้องช่วยกันปฏิเสธขนาดนี้ก็คงจะตื๊อต่อไปก็คงไม่เข้าท่า
“อย่าไปรบกวนว่าที่คุณหมอในอนาคตเลยนะคะ” ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยออกมายิ้มๆ
“หืม…. นี่น้องแบมจะเรียนหมอหรือคะ”
ผู้จัดการส่วนตัวของบี๋เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น ซึ่งดูบุคลิกภาพของเด็กหนุ่มแล้วเหมาะสมอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเป็นนักแสดงน่าจะดังมากเช่นกัน
“ครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ
“อืม…. ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ขออวยพรให้ว่าที่คุณหมอได้เป็นคุณหมอสมใจนะคะ” ผู้จัดการสาวอวยพรให้กับนักแสดงตัวประกอบจำเป็นของเธอในวันนี้
“ขอบคุณครับ”
“พี่โบวี่คะ… ถ้าอย่างนั้นเราสองคนขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณพ่อกับคณแม่รอทานข้าวที่บ้านค่ะ”
เมื่อเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว นักแสดงหน้าใหม่จึงเอ่ยลาผู้จัดการส่วนตัว ปกติโบวี่จะคอยรับส่งบี๋ พิชสินีย์ แต่ทว่าวันนี้นักแสดงสาวไปรับน้องชายมาด้วย เธอจึงไม่ได้ไปรับและไปส่งอย่างเช่นเคย สองหนุ่มสาวยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า ก่อนที่จะหันไปยกมือไหว้ลาคนในกองถ่าย สองพี่น้องเยื้องย่างออกจากกองถ่ายไปท่ามกลางสายตาที่มองไปที่คนทั้งคู่อย่างชื่นชม แกมเสียดายที่เด็กหนุ่มไม่สนใจจะเข้าวงการ
หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนรถของพี่สาวได้ แบม ภูวดลก็ถอนลมหายใจยาวๆออกมาจนพี่สาวได้ยิน เธอมองน้องชายยิ้มๆอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะขับรถออกไปจากกองถ่ายที่อยู่ใจกลางกรุงแห่งนี้มุ่งตรงกลับบ้านปรีชารักษ์ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงสิบกิโลเมตร เด็กหนุ่มหลับตาลงก่อนที่จะคิดทบทวนอยู่ภายในใจว่าวันนี้ มันช่างเป็นวันที่แสนวุ่นวายและเสียเวลาสำหรับเขาจริงๆ หวังว่าในชีวิตนี้เขาคงจะไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในวงการบันเทิงอีกแล้ว