บทที่ 4
“ฉัน....เอ้อ....คุณช่วยยกกระเป๋าฉันเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมคะ” น้ำเสียงของเธอเปี่ยมอยู่ด้วยความหวังมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินเข้าไปใน ฟอว์ลตี้ ทาวเออร์และไปพบกับจอห์น คลีสส์ ในบทบาทของเบซิล ฟอว์ลตี้ เข้าอย่างจัง
มันมีแววเยาะหยันปรากฏขึ้นในดวงตาคู่นั้น
“ทำไม ท่าทางผมมันเหมือนคนยกกระเป๋านักหรือไง” เขาถามหมิ่น ๆ
เมอร์ลินขบริมฝีปากอยู่ เขาไม่มีทางจะเหมือนคนยกกระเป๋าคนไหนที่เธอเคยพบไปได้ เพราะท่าทางของเขามันทั้งหยิ่งจองหองและมีอำนาจอย่างไรบอกไม่ถูก แต่เขาคงจะไม่ใช่เจมส์ผู้เป็นสามีของแอนน์แน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงมันก็เท่ากับเธอทำผิดเป็นครั้งที่สองที่ไปเหมาเอาว่าเขาเป็นคนยกกระเป๋าอยู่ในโรงแรมของตัวเอง และที่มันเลวร้ายกว่านั้นก็ตอนที่เธอพบว่าตัวเองเกิดชื่นชอบในตัวสามีของจ้าภาพที่เชื้อเชิญเธอมาในครั้งนี้เข้าอีก
“ว่าไงล่ะ” คิ้วเข้ม ๆ นั้นเลิกสูงขึ้นเมื่อเห็นเธอไม่ตอบคำถามของเขา และเมอร์ลินก็ต้องเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก
“เอ้อ...ฉันขอโทษค่ะถ้าฉันเข้าใจคุณผิดไป ฉัน... ”
“บอกได้เลยว่านี่เป็นความผิดครั้งที่สองที่คุณทำขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที” เขาหัวเราะเยาะใส่หน้าให้ ไรฟันขาวเป็นประกายตัดกับหนวดเคราครึ้ม ๆ บนใบหน้า ดูเหมือนเขาจะขบขันเมื่อเห็นท่าทางอึดอัดของเธอที่เพิ่มมากขึ้น
เมอร์ลินรู้สึกงุนงงเพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะยิ้มออกมาตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขาในยามนี้ดวงตาคู่นั้นเป็นสีเทาดูอ่อนโยนลง มุมปากกดลึกอยู่กับสองข้างแก้มจนแทบจะไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่ากระไร แต่พอนึกขึ้นมาได้ความระแวงก็ผุดขึ้นในใจ นี่เธอถึงกับแสดงออกไปให้เขาเห็นเชียวหรือว่า เขามีอิทธิพลต่อจิตใจของเธอมากมายเพียงไร ถ้าทำเช่นนั้นจริงเมื่อถึงเวลาที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักแอนน์ เบนตัน เธอคงมองหน้าหญิงสาวคนนั้นไม่สนิทแน่
“งั้นหรือคะ” เธอแสร้งแต่งน้ำเสียงให้เป็นงานเป็นการทั้งที่ใจไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย
“สงสัยว่าคุณจะกำลังหาโรงแรมฟอร์เรสเตอร์อยู่ล่ะสิใช่ไหม” เขายกมือขึ้นกอดอก ท่าทางท้าทายอย่างไรชอบกล
“ใช่...” แต่แล้วเมอร์ลินก็ชักจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ซึ่งทำให้หน้าผากขมวดมุ่นขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็มาผิดแล้วละ” ดูเหมือนเขาจะยินดียิ่งนักที่ได้บอกให้เธอรู้เรื่องนี้
“ตายจริง แต่...” ท้องฟ้าดูจะเปิดโปร่งขึ้นมาในนาทีนั้น เมอร์ลินรู้สึกตาลาย ขณะเดียวกันก็ออกจะตกใจเมื่อมีมือเอื้อมมาจับต้นแขนเธอไว้
“นี่...เห็นแก่พระเจ้าเถอะ” ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ข้างตัวร้องออกมา “ผมว่าคุณเข้าไปข้างในก่อนดีกว่า อย่างน้อยมันก็ยังอุ่นกว่ายืนอยู่ข้างนอกนี่”
“อย่างน้อย” ภายในบ้านหลังนี้ก็ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามกว่าบ้านหลังใดที่เมอร์ลินเคยเห็นมา พื้นที่ชั้นล่างทั้งหมดซึ่งสามารถมองเห็นได้เมื่อยืนอยู่ตรงห้องโถงทางเข้าตกแต่งด้วยเครื่องประดับอยู่บนเพดานสูง และบันไดโค้งที่ทอดอยู่ตรงหน้าก็ราวกับบันไดในปราสาทแห่งเทพนิยายหรือที่ใช้แต่งในฉากเวลาถ่ายทำภาพยนตร์ น่างจะเรียกว่าสไตล์แบบฮอลลีวู้ดจึงจะเหมาะสมกว่า เพราะในประเทศอังกฤษดูจะหาชมการตกแต่งแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ว่า บรรยากาศภายในสถานที่แห่งนี้มันไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัย
ความผิดหวังฉายประกายอยู่ในดวงตาเมื่อเมอร์ลินหันกลับมามองหน้าเจ้าของบ้านอย่างไม่แน่ใจ
“ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ รู้สึกว่าเข้าใจผิดอย่างมากทีเดียว”
“ท่าทางคุณใกล้จะเป็นปอดบวมเข้าไปทุกทีแล้วนะ” เสียงเจ้าของบ้านเอ่ยขึ้น “มาเถอะ” เขาเอื้อมมาจับมือและลากเธอเดินตรงไปยังบันได
“จะไปไหนล่ะคะ” น้ำเสียงที่ถามออกไปนั้นบอกความตกใจ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เธอรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ ชายคนนี้บ้างเล่า ไม่มีทางรู้ได้เลยด้วยซ้ำว่าเขามีสิทธิ์ที่จะมาเดินอยู่ในบ้านหลังนี้เหมือนที่เธอกำลังเป็นอยู่หรือไม่เขาเองก็อาจจะเพียงแวะเข้ามาหลบฝนเช่นเธอเหมือนกัน และท่าทางเท่าที่มองเห็นก็ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะร่ำรวยขนาดเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ได้
หรือว่าเขาจะเป็นแค่คนดูแล ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไปได้เมอร์ลินคิดอยู่ในใจว่าถ้าเธอมีบ้านใหญ่โตสวยงามขนาดนี้ก็คงจะไม่ปล่อยไว้โดยไม่มีคนดูแลเช่นเดียวกัน
“ก็ขึ้นไปข้างบนน่ะสิ” เขาพูดเสียงเบา “กลัวด้วยหรือ”
น้ำเสียงที่ถามนั้นเหมือนพี่ชายที่กำลังล้อเลียนน้องสาวอยู่ เมอร์ลินไม่ชอบให้ใครมาล้อเลียนเธอเช่นนี้ ดวงตาจึงเป็นประกายขึ้นมาทันที
“กลัวคุณน่ะรึ” เธอย้อนถามห้วน ๆ มันทำให้รอยยิ้มกดลึกลงตรงมุมปาก
“ก็อาจจะใช่นะ เพราะทันทีที่ผมพาคุณขึ้นไปถึงห้องข้างบน ผมก็คงจะต้องจับคุณแก้ผ้าแน่” เขาพูดหน้าตาเฉย
เมอร์ลินยืนตัวแข็งไปในทันที แม้จะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง 5 ฟุต 5 นิ้วแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเขายืนค้ำหัวเธออยู่ดีตอนที่ขับรถผ่านมาแถบนี้สิ่งหนึ่งที่เธอสังเกตเห็นก็คือไม่มีบ้านหลังไหนอยู่ใกล้กับบ้านหลังนี้ และเธอคงไม่สามารถต่อสู้กับพละกำลังของเขาได้แน่ ถ้าเขาคิดจะล่วงล้ำก้ำเกินเธอขึ้นมาจริง ๆ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเราก็เห็นจะต้องพูดกันหน่อยละมั้ง” เมอร์ลินว่าเมื่อรู้สึกว่าตัวเองควรจะต้องพูดอะไรออกมาบ้าง
“ทำไม คุณเล่นยูโดเก่งอย่างนั้นหรือ” เขาเลิกคิ้วสูง
“ถ้าจำเป็นก็อาจจะทำได้ละ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ปรกติแล้วเพียงแค่จะถอดเสื้อผ้าออกอาบน้ำนี่คุณต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้อยู่เสมอหรือไง”
“อาบน้ำหรือคะ” เธอกะพริบตาถี่ ๆ “คุณ...”
“ว่าไง” เขาถามล้อ ๆ
นวลแก้มของเธอแดงเรื่อขึ้นมาทันที ความขุ่นเคืองฉายแสงอยู่ในดวงตายามที่จ้องมองหน้าเขา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความอายที่เธอเข้าใจเขาผิดเป็นครั้งที่สาม
“เอาล่ะ เลิกเถียงได้แล้ว” เขากึ่งลากกึ่งจูงเธอขึ้นบันได แทบจะไม่สนใจกับอาการสะดุดที่เกิดขึ้นกับเมอร์ลิน เมื่อเข้าไปถึงห้องนอน เขาก็ลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากตัวก่อนที่เธอจะทันขัดขืน เธอพยายามจะดึงเสื้อไว้ขณะที่เขาเริ่มลงมือถอดกระดุมออก “ทำไมเล่า” เขาถามอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเธอแสดงความหวงเนื้อหวงตัวออก มา “นี่...ผมจะบอกให้นะว่า ผมน่ะเคยเห็นผู้หญิงแก้ผ้ามานับไม่ถ้วนแล้ว” น้ำเสียงของเขาบอกความไม่พอใจ
เมอร์ลินไม่ได้สงสัยในเรื่องนั้นเลย ท่าทางที่บ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรีทุกกระเบียดนิ้วนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจถ้าจะมีผู้หญิงตกอยู่ใต้อำนาจเขาอย่างมากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นร่างกายของเธอมาก่อนเลยนี่ และนั่นแหละคือสิ่งที่เธอกำลังกังวลอยู่ เมอร์ลินเอื้อมไปยุดมือเขาไว้
“ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณเสียด้วยซ้ำ” เมอร์ลินพูดอย่างขุ่นเคือง และรอยยิ้มก็กลับมาปรากฏอยู่บนใบหน้าเขาอีกครั้ง
“ที่คุณพูดนี่หมายความว่าถ้าเราได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเป็นงานเป็นการแล้วละก้อ คุณจะยอมให้ผมแก้ผ้าให้โดยไม่ขัดขืนเลยอย่างนั้นใช่ไหม”
ครั้งนี้นวลหน้านั้นแดงจัดขึ้นด้วยความอดสู
“ไม่ใช่ ฉัน... ”
“เอาละ คุณจะเรียกผมว่าแรนด์ก็ได้นะ” เขาถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญ “และถ้าคุณไม่อยากให้ผมช่วยถอดเสื้อให้ละก้อ กรุณาถอดออกเองเสียด้วย จากนั้นก็รีบเข้าไปในห้องน้ำ ไขน้ำอุ่นจากฝักบัวราดตัวเสีย ผมจะลงไปชงกาแฟเตรียมไว้ให้” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไปทันที
เมอร์ลินถูกทิ้งไว้กับความรู้สึกที่ว่าตนเองเพิ่งรอดพ้นจากพายุหมุนที่สงบลงในทันที เธอทรุดกายลงนั่งตรงขอบเตียงที่อยู่ทางด้านหลัง แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มจะพลอยทำให้ที่นอนชื้นไปด้วย จึงได้ลุกขึ้นและเริ่มถอดเสื้อผ้า ในใจครุ่นคิดถึงแต่ผู้ชายคนที่กำลังลงไปอยู่ข้างล่างเวลานี้
แรนด์...เป็นชื่อที่ฟังเข้าท่าอยู่มาก สายตาของเมอร์ลินเหลือบแลไปยังเตียงนอนข้างตัว อยากรู้นักว่าความรู้สึกจะเป็นอย่างไรถ้าได้ล้มตัวลงนอนเคียงข้างเขา เมื่อร่างกายของเธอแนบชิดอยู่กับร่างเขา เปล่งเสียงครวญคร่ำออกมาขณะที่เขาถืออำนาจในตัวเธอ เธอรู้ว่าเขาจะต้องมีอำนาจเหนือเธอทุกประการ ไม่ใช่เพียงแค่การร่วมรักเท่านั้น ความแรงร้อน ที่เคยรู้สึกตอนที่ได้เห็นเขาเป็นครั้งแรกกลับมาอีกครั้ง เมื่อมองเห็นภาพศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำนอนเรียงเคียงคู่กับศีรษะของเธอบนหมอนใบนั้น...
“เอ้า...ยังยืนอยู่นี่เอง” แรนด์เดินกลับเข้ามาในห้องโดยไม่มีการเคาะประตูบอกให้รู้ล่วงหน้า ในมือมีทั้งกระเป๋าเสื้อผ้าและกระเป๋าเครื่องแต่งหน้าของเธอมาด้วย ดวงตาคู่คมปลาบหรี่ลง เมื่อเห็นความเปลือยเปล่าของนวลเนื้อที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อสีฟ้าที่กระดุมตรงหน้าอกเผยอ้าอยู่ ถึงเมอร์ลินจะไม่ก้มลงมองก็รู้ว่าสีผิวของตัวเองตัดอยู่กับสีเสื้อที่สวมใส่อยู่อย่างเห็นได้ชัด