บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

เมอร์ลินเปียกชุ่มไปทั้งตัวเพราะต้องลงจากรถถึงสองครั้ง วิ่งตากฝนเข้าไปถามทางจากเจ้าของบ้าน สำหรับครั้งที่สองนี้เธอยังเอาโคลนไปฝากเจ้าของบ้านอีกด้วยเพราะรถเกิดตกหล่มในถนนทางเข้าบ้านของเขาเอง จนเขาต้องออกมาช่วยเข็นเพื่อให้เธอออกไปพ้นจากบ้านให้จงได้ เมอร์ลินชักจะเริ่มคิดว่าเลค ดิสทริคคงจะไม่ชอบเธอเท่าไรนักเพราะเธอเองก็เริ่มไม่ชอบตำบลแห่งนี้ขึ้นมาพอแรงแล้ว

และแล้วเธอก็เห็นป้ายไม้ที่เขียนเป็นตัวอักษรไว้ว่า “เดอะ ฟอร์เรสเตอร์” ติดอยู่ข้างประตูรั้วเหล็ก แม้สายฝนจะกระหน่ำหนัก แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เมอร์ลินคิดอยู่ในใจว่า ถ้าพบหน้าแอนน์เห็นจะต้องบอกให้รู้ว่า โรงแรมของเธอจะดูอบอุ่นพร้อมที่จะต้อนรับผู้เดินทางมาพักมากกว่านี้ ถ้าจะเปิดประตูให้กว้างไว้สักบานหนึ่งและเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอต้องลงจากรถวิ่งฝ่าสายฝนไปเปิดประตูเพื่อเอารถเข้า

เสียงประตูเหล็กที่มีความสูงถึง 8 ฟุต ครวญครางราวจะร้องทุกข์เมื่อเธอเปิดออกและขับรถผ่านเข้าไป ซึ่งนับเป็นการลงจากรถไปตากฝนเป็นครั้งที่สี่ ในตอนแรกเมอร์ลินคิดว่า การได้ลงไปตากฝนอย่างนั้นจะช่วยให้คลายความหนาวเย็นที่จับเข้าไปถึงกระดูกได้บ้าง แต่กลับพบว่ามันยิ่งทำให้ฟันกระทบกันรุนแรงยิ่งขึ้น

เธอขับรถผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ค่อย ๆ ลดความเร็วลงอย่างไม่ใคร่แน่ใจนัก เมื่อเหลือบมองไปยังกระจกส่องหลังก็พบว่าสายฝนที่พร่างพรูลงมาดูจะหนักหนายิ่งขึ้นความคิดที่ว่าจะลงไปตากฝนอีกครั้งหนึ่งนั้นไม่ได้ผ่านเข้ามาในสมองเลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้นสามัญสำนึกก็ยังเตือนเธออยู่ มันคล้ายจะเป็นโค้ดที่เร่งเร้าอยู่ในใจว่า “ควรจะปิดประตูลงเสียเมื่อผ่านเข้ามาแล้ว” เธอน่าจะอ่านพบจากที่ใดที่หนึ่งแน่ เพราะตลอดอายุ 26 ปี และความเป็นสาวชาวกรุงนั้น เธอเคยออกมาสู่ชนบทเพียงแค่ครั้งเดียวตอนที่มาปรากฏตัวที่โรงละครแห่งหนึ่ง ซึ่งในครั้งนั้นก็ไม่ได้มีเวลาสำรวจสภาพแวดล้อมเท่าไร เมื่อเสียงนั้นเตือนซ้ำอยู่ในใจ เมอร์ลินก็มองเห็นว่า ถึงอย่างไรเธอก็คงจะไม่เปียกปอนมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้อีกแล้ว

หยาดน้ำฝนไหลลามลงตามต้นคอและเข้าไปขังอยู่ในตาเมื่อเธอกลับมาที่รถอีกครั้ง แต่มันก็เป็นครั้งแรกที่เธอมองเห็นภาพของโรงแรมที่ตั้งอยู่สุดทางวิ่งอย่างชัดเจน มันเหมือนปราสาทที่อยู่ของเจน แอร์ ไม่มีผิด

เมอร์ลินสั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความหนาวจับหัวใจ แต่ก็อดคิดถึงภาพที่เธอสร้างขึ้นในจินตนาการไม่ได้เพราะจินตนาการนั้นเองที่ทำให้เธอมานะพยายามแสวงหาความสำเร็จในงานที่กำลังทำอยู่ ซึ่งทั้งบิดามารดาผู้เป็นหมอด้วยกันทั้งคู่กับพี่ชายที่เป็นทนายความอีกหนึ่งคนของเธอไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด ทุกวันนี้แม่ก็ยังพยายามจะอธิบายให้ผู้ใกล้ชิดสนิทสนมทั้งหลายฟังว่า การที่เธอมีความคิดผิดแผกไปจากทุกคนในบ้านเป็นเพราะสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงตอนเป็นเด็ก

ดูเหมือนแม่ไม่เคยหายตกใจจากการที่ได้พบตัวเองตั้งครรภ์อีกครั้งเมื่ออายุ 37 เลย ทั้งนี้เพราะตอนที่แม่ให้กำเนิดพี่ชายก่อนหน้าเธอถึง 8 ปีนั้นแม่ได้ตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้วว่าจะไม่มีอีก แม่ออกจะมีความมั่นใจในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะไม่ต้องการให้การตั้งครรภ์เข้ามาขัดขวางการทำงานที่เพิ่งเริ่มต้นมาได้แค่ 3 ปีเท่านั้น แต่เมื่อเมอร์ลินเกิดตามมามันก็เป็นธรรมดาที่แม่จำเป็นต้องหาแม่นมมาอยู่ด้วยที่บ้าน

แนนนี่ ซิลเวีย เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเมตตากรุณาอย่างยากจะหาใดเปรียบ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของริชาร์ตกับเมอร์ลินอยู่นั่นเอง ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เมอร์ลินเฝ้าฝันอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อใดก็ตามที่เธอแต่งงานเธอจะต้องมีลูกให้เต็มบ้านทีเดียว บรรยากาศภายในบ้านของเธอก็จะต้องไม่เหมือนบรรยากาศภายในบ้านของพ่อแม่ ซึ่งแม้จะมีความสวยสง่างาม แต่ทว่าขาดความอบอุ่นโดยสิ้นเชิงเมอร์ลินต้องการบ้านที่เป็นบ้านอย่างแท้จริง

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเวลานี้เธอพบผู้ชายที่จะมาช่วยเธอสร้างความฝันให้เป็นจริงแล้ว ภายหลังจากได้รู้จักกับคริสโตเฟอร์เพียงแค่อาทิตย์เดียวเธอก็รู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น เพียงแค่คุยกันไม่นานคริสโตเฟอร์ก็แสดงให้เห็นว่า ชีวิตครอบครัวที่พรั่งพร้อมด้วยภรรยาและลูกไม่เหมาะสมกับรูปแบบในการดำเนินชีวิตของเขา

แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็นคนน่าคบ ประการสำคัญก็คือเขาอยากให้เธอเล่นเป็นตัวซูซี่ ฟอร์เรสเตอร์ สิ่งที่เธอจะต้องทำก็เพียงแค่โน้มน้าวจิตใจของแบรนดอน คามิเกลให้ยอมรับในตัวเธอเท่านั้น...แต่มันจะเท่านั้นจริง ๆ ละหรือ

แอนน์ได้อธิบายมาทางโทรศัพท์ว่า โรงแรมที่เธอบริหารอยู่นั้นเป็นทั้ง “โรงแรมและคันทรี่คลับ” เมื่อมองไม่เห็นสถานที่แห่งใดที่จะเป็นคันทรี่คลับไไปได้ โรงแรมที่เธอกำลังมองเห็นอยู่ก็ดูน่าสบาย แอนน์กับซูซี่มาจากครอบครัวที่มีฐานะ และอาคารหลังที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเห็นได้ชัดว่า ครั้งหนึ่งจะต้องเป็นบ้านของครอบครัวใหญ่อย่างแน่นอน

แต่ควรจะปรับปรุงด้านการให้บริการให้ดีขึ้นกว่านี้อีกสักเล็กน้อย ประตูด้านหน้ายังคงปิดสนิทแน่น ไม่มีคนอยู่ข้างนอกที่จะวิ่งมาเปิดประตูรถหรือช่วยยกกระเป๋าให้เลยแม้แต่คนเดียว ไม่เหมือนโรงแรมในลอนดอนแม้แต่น้อย ที่จริงเมอร์ลินก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเปิดประตูรถอีกสักครั้งหนึ่งภายหลังจากที่เธอเปิดมานับไม่ถ้วนแล้วในวันนี้ แต่ควรจะมีใครสักคนมาช่วยยกกระเป๋าเสื้อผ้าซึ่งใส่ไว้ในตอนท้ายรถให้บ้าง เมอร์ลินปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะลงจากรถอีกครั้งในวันนั้น

เธอกดแตรเรียกพร้อมกับจรดจ้องมองประตูไม้โอ๊คบานใหญ่อย่างหวังจะเห็นใครสักคนโผล่ออกมา แต่ประตูมันก็ยังคงปิดสนิทอยู่นั่นเอง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคนที่อยู่ข้างในไม่คิดว่าจะมีแขกเข้าพักในขณะที่ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนักเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ...เธอกดแตรกระชั้นอยู่อย่างนั้น ที่จริงมันมิใช่วิสัยที่พึงกระทำ แต่ขณะนี้เมอร์ลินทั้งหนาวทั้งรำคาญหงุดหงิดใจจนเกินกว่าจะแคร์กับมารยาท

แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักมือลงเมื่อประตูบานหนึ่งถูกเปิดออกด้วยแรงกระแทกเต็มเหนี่ยว ได้ยินเสียงดังปังตอนที่มันกระแทกเข้ากับฝาผนังของตัวบ้านเต็มกำลัง

เมอร์ลินถึงกับงันไป ดวงตาเบิกโพลงเมื่อมองเห็นผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าประตูนั้นลึกลงไปในใจเธอบังเกิดความประทับใจกับพลังอำนาจและอาจจะรวมไปถึงความโกรธที่กระจายออกมาจากตัวเขา ก่อนที่เขาจะเดินฝ่าฝนออกมาราวกับว่ามันไม่มีความหมายอะไรเลย เมอร์ลินทันสังเกตเพียงแค่เรือนผมสีดำที่ค่อนข้างยาวหนวดเครารุงรัง กับดวงตาที่เป็นประกายปลาบก่อนที่เขาจะหันไปทางหลังรถ เธอหันตามไปมองอยากรู้ว่าเขาหายตัวไปไหน และเกือบจะกระเด็นตกลงมาจากรถตอนที่ประตูข้างตัวถูกกระชากให้เปิดออก

“นี่คุณไม่เคยได้ยินบ้างเลยหรือว่าเวลาจะเรียกใครให้มาเปิดประตูน่ะแค่กดกริ่งอย่างที่คนอื่นเขาทำก็พอแล้ว” เขาตวาดเสียงกร้าว “ผมกำลังพูดโทรศัพท์อยู่พอดีตอนที่คุณมาถึง แล้วคุณ... ”

เมอร์ลินแทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ด้วยความตกใจที่เขาเป็นฝ่ายโจมตีโดยที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว สายตาของเขาและเธอประสานกันอยู่ นอกเหนือจากความหนาวเย็นจนตัวสั่นแล้ว ขณะนี้ความร้อนในกายที่เธอไม่คิดว่าจะยังมีเหลืออยู่ก็แล่นพล่านขึ้นมาด้วย เธอยังมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดแม้จะอยู่ในระยะใกล้แค่นี้หนวดเคราปลิวไสวด้วยแรงลมที่กรรโชกเป็นระยะ ๆ ภายใต้แสงจรัสจ้าที่ปรากฏอยู่ในดวงตา เมอร์ลินรู้ว่าผู้ชายคนนี้สามารถจะอุ้มเธอเข้าไปในบ้านพาขึ้นไปยังห้องนอนได้โดยที่เธอจะไม่ทักท้วงเขาเลยแม้แต่น้อย

ขณะที่จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น เมอร์ลินรู้ว่าเธอมีความต้องการในผู้ชายคนนี้ขึ้นมาอย่างรุนแรง

แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นฝ่ายทำลายเวทมนตร์ทั้งหลายที่ถักร้อยอยู่รอบกายของเขาและเธอลงเสียก่อน ความโกรธยังฉายประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้น

“แล้วนี่คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” เขาเอ่ยถามเสียงห้วน ๆ

เธอก็ยังต้องการเขาอยู่นั่นเอง แทบจะไม่สนใจกับความชื้นชุ่มของเสื้อผ้าที่ถูกฝนมาตลอดทางแม้แต่น้อย

“เอ้า ถ้าอยากจะนั่งมองเหมือนลูกแมวตกน้ำอยู่อย่างนี้ก็ตามใจ” เขากระแทกประตูรถใส่หน้าเธอเต็มเหนี่ยว

“เดี๋ยวก่อนค่ะ...ได้โปรด” เขากำลังจะเอื้อมมือไปจับประตูบ้านอยู่แล้วตอนที่เมอร์ลินกระโดดลงจากรถเพื่อจะไปพูดกับเขาให้รู้เรื่อง เขาชะงักอยู่ตรงบันไดหันหลังกลับมามองเธอ หยาดน้ำฝนไหลลงมาจากเผ้าผม ฉ่ำอยู่ทั้งใบหน้าและร่างกาย บางทีถ้าคนเราชินเสียแล้วกับการเผชิญอากาศเช่นนี้มันก็คงจะไม่ทำให้รู้สึกอะไรได้จริง ๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel