บทที่ 2
สีหน้าของเมอร์ลินอ่อนโยนลงด้วยความเห็นใจ ไม่จำเป็นต้องใช้สติปัญญาก็รู้ได้ว่า แม้จะอยู่ในวัย 36 แล้ว แต่คริสโตเฟอร์ เดรค ผู้มุ่งมั่นอยู่กับเรื่องงานเพียงอย่างเดียวไม่เคยมีเวลาสำหรับความรักเลย เธอเองก็ไม่ใคร่คุ้นชินกับอารมณ์รักที่แท้จริงเท่าไรนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าคนที่เคยรักแล้วต้องสูญเสียความรักของตนไปมักจะเจ็บช้ำมากกว่าคนที่ไม่เคยรู้จักความรักเลย
แต่คริสโตเฟอร์เป็นคนมองโลกในแง่เดียว เขามองเห็นเพียงว่า แบรนดอน คามิเกล เป็นผู้ชายที่เข้ามาวางทางเขาไว้ ทำให้ไม่อาจสร้างหนังเรื่องนี้ได้โดยราบรื่น เขาไม่ได้มองคามิเกลในแง่ของผู้ชายที่สูญเสียภรรยาไปด้วยการตายของเธอ ซึ่งทำให้เขาถึงกับหัวใจสลายลง แม้เวลาจะผ่านไป แต่ความเศร้าโศกอาลัยในตัวภรรยาก็ยังไม่คลายลงได้เลย
“คุณคิดจะทำยังไงที่จะให้เขายอมให้ฉันแสดงล่ะ” เมอร์ลินเลิกคิ้วถาม
“ที่จริงผมก็เคยเชิญเขาให้มาดูตัวคุณที่โรงละครในลอนดอนนี่แล้วละ แต่เขา... ”
“ปฏิเสธสินะ” เธอต่อให้ด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง “ฉันไม่คิดหรอกนะว่าการแสดงเป็นตัวเคทของฉันจะสร้างความประทับใจให้กับเขา” ถ้าแบรนดอน คามิเกล ได้เห็นบทเคทนางเอกในเรื่อง “เดอะ เทมมิ่ง ออฟ ชรูด” เขาจะต้องปฏิเสธไม่ยอมให้เธอเล่นบทภรรยาของเขาอันเป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวิตจริงแน่นอน
ถึงยังไงเขาก็ต้องปฏิเสธเธออยู่แล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม...
แต่การที่ถูกเตือนให้นึกไปถึงละครเรื่องล่าสุด มันก็เท่ากับเป็นการถูกบังคับให้ต้องตระหนักไปถึงว่าเธอได้ปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้เธอเซ็นสัญญาแสดงเรื่องอื่นไปทั้งหมด เพื่อที่เธอจะได้รับงานแสดงในเรื่อง “ทู ลีฟ อะ ลิตเติ้ล” ได้เต็มที่ และก็เพิ่งจะเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เองที่คนติดต่อสามารถหาคนแสดงแทนเธอได้
ตามความคิดเดิมนั้น เมอร์ลินต้องการจะพักผ่อนสักหนึ่งเดือนก่อนหน้าที่การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้จะเริ่มขึ้น แต่ถ้ามองจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเธอกำลังจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ไปต่อคิวพวกไม่มีงานทำซึ่งยาวเหยียดอยู่แล้ว และสำหรับคนที่แทบจะไม่เคยมีเวลาว่างให้ตัวเองอย่างมากมายเช่นนั้น ดูมันออกจะเป็นการยากที่จะปรับตัวให้ได้ทัน เธอได้ปิดประตูบานหนึ่งลงแล้ว และอีกบานหนึ่งก็กำลังปิดกระแทกใส่หน้าเอาอย่างเต็มที่
“นี่มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณ พอ ๆ กับที่มันมีความสำคัญสำหรับผมนะ” คริสโตเฟอร์ฉลาดพอที่จะจับสังเกตความรู้สึกในสีหน้าของเธอที่เปลี่ยนไปได้
“ฉันยอมรับนะว่าฉันอยากเล่นหนังเรื่องนี้” เมอร์ลินพยักหน้าอย่างยอมรับ “แต่มันไม่ได้หมายความว่าถ้าฉันไม่ได้เล่นหนังเรื่องนี้แล้วจะต้องตกงานหรอก เพียงแต่ฉันรู้สึกประทับใจในบทของผู้หญิงคนนี้อย่างมากเท่านั้น”
“ผมเองก็ชอบ” คริสโตเฟอร์พูดห้วน ๆ “ผมเชื่อนะว่า ถ้าถ่ายทำเสร็จและเราส่งเข้าประกวด รับรองเลยว่าต้องได้ตุ๊กตาทอง”
ความจริงที่ว่า ทั้งเขาและเธอมีเหตุผลต่างกันนั้นไม่ได้ทำให้เมอร์ลินรู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย และเธอก็รู้ด้วยว่าไม่ว่าคริสโตเฟอร์จะมีเจตนารมณ์อย่างไร มันก็ไม่ได้ทำให้ฝีมือในการสร้างภาพยนตร์ของเขาลดน้อยลงสำหรับตัวเธอเองนั้นเธอได้ใช้เวลาศึกษาสคริปท์เรื่องนี้และทำการค้นคว้าในสิ่งที่รู้สึกว่าจำเป็นสำหรับบทซูซี่ ฟอร์เรสเตอร์ มาเป็นเวลานานพอสมควร จนทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนตัวเองใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้นอย่างมากแม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม และเมอร์ลินก็ยังมีความรู้สึกเหมือนกับเธอต้องสูญเสียเพื่อนคนหนึ่งถ้าไม่ได้เล่นบทของซูซี่ ฟอร์เรสเตอร์
“ผมกำลังคิดอยู่ว่า” คริสโตเฟอร์หยุดเว้นระยะสังเกตความรู้สึกในสีหน้าของเธออยู่ “คุณควรจะไปพบกับคามิเกลนะ”
“เพื่ออะไร” เมอร์ลินขมวดคิ้ว เตรียมพร้อมที่จะฟาดหน้าให้ด้วยกำปั้นถ้าเขาเสนอแนะให้เธอไปนอนกับผู้ชายคนนั้น เธอไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำโดยเฉพาะเมื่อเธอได้แสดงปฏิกิริยากับความคิดเช่นนี้ไปแล้ว ถึงอย่างไรคริสโตเฟอร์ก็ไม่ใช่คนโง่จนเกินไปนัก
“ผมอยากให้คุณลองไปเจรจากับเขาดูน่ะสิ” เขาพูดโกรธ ๆ “ผมเชื่อว่าถ้าเขาได้เห็นหน้าคุณเขาจะรู้ได้ทันทีว่าเราไม่ใช่ไอ้พวก ‘ปีศาจกินศพ’ อย่างที่เขาเคยประณามเรา ยังมีใครบางคนในกลุ่มเราที่มีคุณงามความดีมากพอ”
“แล้วเรามีทางเลือกอื่นอีกไหมล่ะ”
เธอรู้ว่าคริสโตเฟอร์ต้องมี เขาสามารถจะเลื่อนกำหนดการถ่ายทำออกไปอีกสักระยะหนึ่ง และควานหาตัวซูซี่ จนกว่าแบรนดอนจะยอมรับได้ด้วยความเต็มใจ ถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ โอกาสของเธอสำหรับเรื่องนี้มีอยู่น้อยมากและคริสโตเฟอร์ก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เขาหันไปพยักหน้าเรียกบริกรให้เข้ามาเก็บเงินบอกกับเธอว่า
“ผมว่าเราไปปรึกษาเรื่องนี้กันที่บ้านผมต่อดีกว่า” น้ำเสียงที่เชิญชวนนั้นอ่อนโยน เชื่อมั่นในเสน่ห์ของตนเองและไม่คิดจะสงสัยในคำตอบที่จะได้รับจากเมอร์ลินด้วย
เมอร์ลินยิ้มให้เขาเมื่อตอบรับคำชวน...
“หมาบ้ากับพวกผู้ชายชาวอังกฤษ” เมอร์ลินคิดอย่างขุ่นเคืองใจ ขณะนี้เธอเป็นเพียงผู้หญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เดินทางมาแต่เพียงลำพัง และไม่ใช่ในท่ามกลาง “แสงแดดยามกลางวัน” เสียด้วย แต่เป็นในท่ามกลางสายฝนที่กำลังกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
คริสโตเฟอร์ได้เร่งเร้าเธออย่างมากสำหรับการเดินทางเที่ยวนี้ เขาลงทุนอธิบายถึงรายละเอียดความงามของธรรมชาติที่เธอจะได้เห็นในเลค ดิสทริคแห่งนี้ และยังรับรองกับเธอด้วยว่า ถึงแม้ว่าการพบปะระหว่างเธอกับแบรนดอน คามิเกล จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังได้ชื่นชมกับความงามของธรรมชาติในระหว่างหยุดพักการทำงาน หลีกหนีออกมาเสียจากความวุ่นวายสับสนในเมืองที่เธอทำมาหากินอยู่
นับแต่ออกจากสนามบินแมนเชสเตอร์ด้วยรถเช่ามาเป็นเวลากว่าชั่วโมงแล้ว แต่ฝนก็ยังไม่ยอมหยุดตก มันทำให้เธอเริ่มจะได้ตระหนักว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเรียกตำบลแห่งนี้ว่า “เลค ดิสทริค” เพราะดูเหมือนมันจะมีทะเลสาบเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนท้องถนน คนขับรถหลายต่อหลายคนต่างพร้อมใจกันหลีกเลี่ยงเส้นทางสายนี้เมื่อการขับรถไปบนถนนสายดังกล่าวเพิ่มความลำบากยากเย็นยิ่งขึ้นทุกที
เจ้าหน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศทางสถานีวิทยุด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า ปีนี้เป็นปีที่ประเทศอังกฤษมีฝนฟ้าชุ่มฉ่ำที่สุด ราวกับมีใครบางคนจำเป็นจะต้องได้รับการบอกเล่าให้รู้ว่า ฤดูร้อนปีนี้จำกัดอยู่เพียงแค่อาทิตย์แรกของเดือนเมษายนเท่านั้น
สำหรับเมอร์ลินนั้นเธอรู้ดีว่าทำไมตัวเองจึงหงุดหงิดซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเรื่องอากาศเลยด้วย ในตอนแรกเมื่อเธอตัดสินใจว่าจะหยุดพักผ่อนสักชั่วระยะเวลาหนึ่งระหว่างการทำงานนั้น มันเป็นความคิดที่เข้าท่าอยู่ไม่น้อย แต่ภายหลังจากที่เธอทำงานอยู่ทุกวันไม่เคยขาด การไม่ได้ทำอะไรเลยก็เริ่มสร้างความเบื่อหน่ายให้เกิดขึ้นทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปได้แค่ 3 วันเท่านั้น ห้องเช่าที่พักอยู่ใช้เวลาทำความสะอาดเพียงแค่วันเดียวก็เสร็จหมดแล้ว วันต่อมาเป็นวันหาซื้อของเก็บเข้าไว้ฟรีซเซอร์ พอถึงวันที่สามก็ไม่มีอะไรทำแล้วเธอรู้สึกไม่พอใจที่คริสโตเฟอร์จับสังเกตความเบื่อหน่ายของเธอได้ จึงใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง
แต่จะตำหนิเขาเช่นนั้นมันก็ไม่ตรงต่อความเป็นจริงเสียทีเดียว เมอร์ลินยอมรับในเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรเธอเองก็ยังอยากเล่นเป็นตัวซูซี่อยู่ ดังนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วคริสโตเฟอร์ก็แทบไม่ต้องใช้ความพยายามเท่าไรนักที่จะเร่งเร้าให้เธอมาพบกับแบรนดอน คามิเกล ในครั้งนี้
แอนน์ เบนตัน ก็ยังมีส่วนในเรื่องนี้อยู่ด้วย แม้ว่าเธอทั้งสองจะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน แอนน์นั้นยุ่งอยู่กับธุรกิจเรื่องโรงแรมที่เธอกับสามีช่วยกันบริหาร เมอร์ลินได้พูดกับเธอทางโทรศัพท์ และประทับใจในน้ำเสียงที่บอกความเป็นกันเองของผู้หญิงคนนั้นทันที และเมื่อแอนน์เป็นฝ่ายเชิญให้เธอมาเป็นแขกในครั้งนี้ เมอร์ลินก็ไม่ยอมสูญเสียโอกาสอันดี แอนน์ยังบอกต่ออีกว่า พี่เขยของเธอนั้นอยู่ห่างจากโรงแรมเพียงไม่กี่ไมล์เลย
แต่เมอร์ลินไม่คาดคิดมาก่อนว่าเครื่องบินว่าเครื่องบินจะต้องเสียเวลาเพราะม่านหมอกที่หนาทึบ หรือสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักราวจะเป็นการต้อนรับเมื่อเธอออกไปเอารถที่เช่าไว้ ลางร้ายมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนตั้งต้นเดินทางด้วยรถยนต์เช่าคันนั้น สิ่งแรกที่เกิดขึ้นก็คือที่ปัดน้ำฝนไม่ทำงานทำให้เธอต้องหาที่พักค้างคืนในแมนเชสเตอร์เพื่อจะออกเดินทางต่อในตอนเช้า ซึ่งเธอหวังว่าอากาศจะดีขึ้น และเมื่อโทรศัพท์ติดต่อกับแอนน์ ฝ่ายนั้นก็ให้คำรับรองอย่างมั่นเหมาะว่าวันนี้ถ้าจะมีฝนตกบ้างก็คงเป็นแต่เพียงบางเบาดังนั้นเมอร์ลินจึงตัดสินใจออกรถมา แต่กลับปรากฏว่าเธอต้องผจญกับฝนหนักตลอดทาง
เลค วินเดอร์เมียร์ ตอนที่ขับรถผ่านมานั้น ไม่ได้ต่างไปกว่าทะเลสาบที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยผ้าผืนสีเทาหนาตัวเมืองวินเดอร์เมียร์ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ดูร้างผู้คน เรือที่เตรียมไว้ให้นักทัศนาจรเช่าเล่นจากแผ่นป้ายที่เมอร์ลินได้เห็นก็บอกว่าปิดบริการสำหรับวันนั้นไปแล้ว ใครจะเชื่อเล่าว่านี่คือเดือนสิงหาคม
แอนน์ได้อธิบายถึงที่ตั้งของโรงแรมมาอย่างละเอียด แต่สิ่งหนึ่งที่แอนน์นึกไม่ถึงก็คือเมอร์ลินเคยชินกับการขับรถแต่ในลอนดอนเท่านั้น เมื่อมาถึงตอนที่แอนน์บอกไว้ว่าให้เลี้ยวขวาเมอร์ลินก็เลี้ยวรถเข้าไปทันที กว่าจะรู้ว่าตนเลี้ยวผิดก็ต่อเมื่อได้พบว่ามันเป็นทางเลี้ยวเข้าบ้านคนอื่นเขา