บทที่ 5
อีกครั้งหนึ่งที่ความรู้สึกว่า เขาจะได้เป็นเจ้าของเธอกลับคืนมา เมอร์ลินจึงไม่คิดที่จะปิดบังความหนั่นนูนของทรวงอกไว้ให้พ้นเสียจากสายตาของเขา เธอกลับเคลื่อนไหวท่าทาง ที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นความอวบอัดของเนินทรวงได้ชัดเจนขึ้น แต่สิ่งที่เธอได้เห็นก็คือแรนด์เบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้าในทันที
“ผมคิดว่าคุณควรจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียนะ” เขาพูดออกมาเบาๆ “เมื่อเสร็จแล้วก็ลงไปข้างล่างแล้วกัน ผมจะรออยู่ในห้องนั่งเล่น”
ขณะที่ลมหายใจถูกระบายออกจากปอดช้า ๆ นั้นเมอร์ลินเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอสะกดกลั้นลมหายใจเอาไว้ตั้งแต่ที่แรนด์ก้าวเข้ามาพร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าในมือ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหน ที่จะสร้างความรู้สึกเช่นนี้ให้เกิดขึ้นมาก่อนเลย มันทำให้เธอปั่นป่วนใจอย่างบอกไม่ถูก เมอร์ลินก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดเธอจึงอยากให้เขาเกิดความสนใจในตัวนัก อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยต้องการผู้ชายคนไหนเช่นเขามาก่อนเลยก็ได้ และน่าจะเป็นความต้องการนั่นเองที่ทำให้เธอแสดงกิริยาท่าทีเหมือนจะเชิญชวนเขาออกไปอย่างนั้น
น้ำอุ่นที่ไหลหลั่งออกมาจากฝักบัว ช่วยคลายความหนาวเย็นที่จับเข้าไปถึงกระดูกลงได้อย่างมาก มันยังช่วยให้หายจากอาการฟันกระทบกันอีกด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่มันช่วยทำลายลงไม่ได้ก็คือ ความรุ่มร้อนที่เธอได้รู้จักในนาทีที่ได้เห็นหน้าเขา มันคล้ายกับว่าร่างกายของเธอต้องการจะจดจำเขาไว้ตลอดไป!
มันออกจะเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะไม่น้อยเลย ที่เธอจะเกิดความคลั่งไคล้ ในตัวผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาถึงขนาดนั้นทั้งๆที่รู้อยู่ว่าตัวเองคงไม่สามารถจะร่วมรักกับคนแปลกหน้าได้
เธอหลีกเลี่ยงที่จะมองไปยังเตียงนอน ที่ทำให้เธอเกิดจินตนาการอันสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในหัวใจเสียรีบหยิบกางเกงขายาวผ้าฝ้าย กับเสื้อตัวใหม่ออกมาสวมใส่เครื่องทำความร้อนภายในบ้าน คงจะทำให้เธอรู้สึกร้อนมากยิ่งขึ้น เมื่อใดที่ความหนาวเย็นซึ่งเกาะกุมอยู่จางหายไปเรือนผมสีแดงเริ่มหมาดแล้ว แต่เมื่อไม่มีดรายเป่าให้เข้ารูปทรงมันก็คงจะพองฟูเต็มทั้งหัวแน่ ในสายงานอาชีพที่บุคลิกลักษณะประจำตัวจะบกพร่องไม่ได้นั้น เมอร์ ลินลืมไปแล้วว่าเธอเคยปล่อยผมให้สยายงามตามธรรมชาติเช่นนี้เมื่อไร
แต่นั่นแหละ ทำไมเธอจะต้องมากังวลใจกับเรื่องเผ้าผมในตอนนี้ด้วยเล่า เพราะไม่มีทางช่วยอะไรได้แล้วถึงอย่างไรมันก็คงไม่เลวไปกว่าตอนแรกที่เธอเดินทางมาถึงที่นี่แน่
ประตูห้องนอนที่อยู่ตรงข้ามเปิดอ้าทิ้งไว้ ความใคร่รู้เพิ่มพูนขึ้นมาในใจ เมอร์ลินไม่อาจหักห้ามความเร่งเร้าในใจไม่ให้มองเข้าไปข้างในได้ และมันก็เป็นเช่นเดียวกับห้องอื่นๆ ภายในบ้านที่ได้รับการตกแต่งอย่างเลิศหรูบ่งบอกความเป็นผู้ชายเต็มตัว เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นห้องของเจ้าของบ้าน ที่เธอกำลังเข้ามาพักพิงอยู่ในเวลานี้อย่างแน่นอน เตียงนอนกว้างใหญ่นั้น เหมาะที่จะรองรับเรือนกายของเขา ภายในห้องที่ตกแต่งด้วยสีน้ำตาลกับสีเหลืองพีชนี้แม้จะช่วยให้ห้องสว่างขึ้น แต่ก็ไม่มีลักษณะว่าจะมีผู้หญิงเข้ามาใช้ร่วมอยู่ด้วย มันเป็นห้องของผู้ชายโดยเฉพาะและ...
เมอร์ลินมีความรู้สึกเหมือนลมหายใจจะสะดุดหยุดลงโดยพลัน เมื่อมองไปเห็นภาพถ่ายในกรอบที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียง มันเป็นภาพของผู้หญิงผมสีดำหน้าตาสวย ดวงตาคู่สีฟ้าเข้มฉาบอยู่ด้วยรอยยิ้ม แววแห่งความรักฉายแสงสะท้อนอยู่กับกล้องถ่ายรูปอย่างเห็นได้ชัด
เมอร์ลินมีความรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงดูดด้วยกระแสแม่เหล็ก เมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องนั้นและก้มลงอ่านข้อความที่เขียนไว้ใต้รูปว่า
“ยอดรัก...ฉันรักคุณค่ะ”
ข้อความประโยคนั้นมันอาจจะไม่ได้บอกว่า คนที่ถูกเรียกว่า “ยอดรัก” นั้นเป็นใคร แต่เนื่องจากมันเป็นห้องนอนของแรนด์ เพราะฉะนั้นมันก็ควรจะเป็นเขานั่นเองใต้ภาพดังกล่าวไม่มีลายเซ็นกำกับไว้ แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องมีเลย เพราะไม่มีใครที่อยู่ในประเทศอังกฤษตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จะไม่รู้จักผู้หญิงซึ่งเป็นนักแสดงทั้งบนเวทีละครและในจอเงินที่ชื่อ...ซูซี่ ฟอร์เรสเตอร์...คนนี้
เขาบอกกับเธอว่าเขาชื่อแรนด์ แต่แบรนดอนล่ะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้ชายคนที่กำลังนั่งรอเธออยู่ข้างล่างในขณะนี้คือแบรนดอน คามิเกล สามีของซูซี่นั่นเอง
มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรที่เมอร์ลินจะจำเขาไม่ได้ เพราะรูปถ่ายของเขาที่เธอเคยเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวนั้นเป็นรูปถ่ายของนักธุรกิจชาวอังกฤษผู้มั่งคั่ง แต่ผู้ชายคนที่อยู่ชั้นล่างนั่นแต่งตัวปอนๆ หน้าตาก็แทบจะไม่ เคยโกนหนวดเครา หรือผมเผ้าก็ราวจะไม่เคยตัดมาเป็นปี...เขาอาจจะไม่เคยดูแลตัวเองเลยก็ได้นับแต่วันที่ภรรยาตายลงเมื่อ 2 ปีก่อนนี้
อาการป่วยหนักของซูซี่ซึ่งติดตามมาด้วยความตายอันน่าเศร้านั้น มันกระทบใจของทุกผู้คนที่ได้เคยชมการแสดงของเธอมาแล้ว แต่สำหรับสามีของเธอที่แต่งงานกันมาถึง 8 ปี มันย่อมเป็นยิ่งกว่าการสูญเสียที่เขาไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับมันได้เลย
และเขาจะต้องไม่เชื่อด้วยว่า การที่เมอร์ลินมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่เป็นไปด้วยเหตุบังเอิญอย่างแท้จริง เขาจะต้องคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ได้รับการวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างดียิ่งเพื่อที่จะให้เธอได้มาพบกับเขามากกว่า
เมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นครั้งนี้ เมอร์ลินมองหน้าเจ้าของบ้านด้วยสายตาแบบใหม่ เริ่มจะมองเห็นว่าเรือนผมของเขานั้นแม้มันจะยาวเกินความจำเป็นอยู่สักหน่อย แต่ก็มีรูปทรง และเมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดก็เห็นเงาสีเทาที่ขึ้นแซมอยู่ในสีดำบ้างแล้ว เธอรู้ว้าแบรนดอน คามิเกล หรือ แรนด์ คามิเกล ซึ่งเขาพอใจจะให้ผู้ใกล้ชิดสนิทสนมเรียกเขาเช่นนั้นอายุ 39 ปีแล้ว และจากการที่เธอโผล่เข้ามาในบ้านของเขาในลักษณะนี้ เมอร์ลินก็ไม่ใคร่แน่ใจนักว่าเขาจะยอมต้อนรับเธออย่างที่เธอหวังจะให้เป็นหรือไม่
เขากำลังจับตามองเธออยู่ ดวงตาที่ฉาบด้วยประกายสีเงินคู่นั้นจับสังเกตในท่าทีขณะที่เมอร์ลินมองเขาอย่างใจคอไม่ใคร่ดีนัก
“คุณคงอยากโทรศัพท์ไปที่โรงแรมสินะ” เขาเอ่ยขึ้น ท่าทางหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ได้ไหมล่ะคะ” เธอกะพริบตาถี่ๆ สงสัยว่าความมั่นใจในตัวเองมันหายไปไหนหมด ทั้งที่เธอกำลังต้องการอย่างเหลือกเกินในยามนี้ “ฉันหมายความถึงว่า ฉัน...เอ้อ...จำเป็นต้องโทรศัพท์ไปที่นั่นค่ะ” เธอรู้สึกรำคาญตัวเองที่พูดจาอึกๆ อักๆ เหมือนคนปัญญาอ่อน “แอนน์คงห่วงฉันแย่แล้วป่านนี้”
ดวงตาคู่สีเงินเป็นประกายขึ้นด้วยความระแวงทันที
“คุณเป็นเพื่อนกับเขาหรือ”
เมอร์ลินบอกตัวเองอยู่ว่าเธอคงไม่มีทางที่จะโน้มน้าวจิตใจผู้ชายคนนี้ให้ยอมรับในตัวเธอ พอที่จะให้เธอแสดงบทภรรยาของเขาแน่ อีกประการหนึ่งเธอก็ควรจะรู้ว่าโรงแรมแห่งไหนที่จะเปิดประตูไม่ยอมรับลูค้าแบบนั้น เธออาจจะสังเกตเห็นในสิ่งนี้ได้ ถ้าจะไม่คำนึงถึงความเปียกปอนกับความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นขณะมองหาที่พักพิงสักแห่งเพื่อหลบฝน ซึ่งมันจะเป็นที่ไหนก็ได้ คริสโตเฟอร์คงหัวเราะไม่ออกแน่ถ้าเธอเล่าให้เขาฟังว่าเธอได้ทำอะไรลงไป เพราะเมื่อมาถึงเวลานี้เธอก็หัวเราะไม่ออกเหมือนกัน
“ก็ทำนองนั้นแหละค่ะ” เธอตอบอย่างคลุมเครือ ไม่ต้องการให้เขามานั่งซักไซ้ไล่เลียง ถึงการรู้จักกับแอนน์อีกต่อไป “โรงแรมอยู่ไกลจากที่นี่มากไหมคะ”
“ก็ประมาณสักสองไมล์เห็นจะได้” เขาไหวไหล่เบาๆ “มันอยู่อีกด้านหนึ่งของที่ดิน”
หลังจากที่ได้ศึกษาชีวิตของซูซี่ ฟอร์เรสเตอร์ มาพอสมควร มันทำให้เธอรู้ว่าสองสาวพี่น้องสกุลฟอร์ เรสเตอร์นั้นเป็นลูกสาวของจอห์น ฟอร์เรสเตอร์ ผู้มีฐานะมั่งคั่งและร่ำรวยเรื่องที่ดิน เขาได้ทิ้งทรัพย์สินส่วนนี้ไว้ให้กับลูกสาวทั้งสองเมื่อเขาตายลง และที่นี่น่าจะเป็นบ้านหลังใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่ร่วมกันของบุคคลในครอบครัว ถ้าเช่นนั้น แอนน์ก็คงจะสร้างโรงแรมนั่นขึ้นด้วยเงินของเธอเอง
“ไม่ต้องห่วงหรอก” แรนด์พูดเมื่อเดินไปหยุดอยู่ทางด้านซ้ายของเตาผิง เปลวไฟที่ลุกโพลงอยู่ช่วยขับไล่ความหนาวเย็นของอากาศกลางฤดูร้อน ที่ฝนกำลังตกลงมาอย่างหนักได้ดี “คุณไม่ใช่คนแรกที่เข้าใจผิดเรื่องนี้ บ้านหลังนี้มีชื่อว่า ‘เดอะ ฟอร์เรสเตอร์’ ส่วนโรงแรมนั่นชื่อ ‘เดอะ ฟอร์เรสท์’ มันคล้ายกันอยู่” เขาไหวไหล่อีกครั้ง “แม้ว่าปกติแล้ว ทั้งประตูและกำแพงนั่นจะไม่เคยต้อนรับใครเข้ามาก็ตาม” เขาเสริมในตอนท้ายคล้ายจะบอกเป็นนัยว่าเขาให้การต้อนรับเธอเป็นพิเศษอยู่แล้ว
ซึ่งคำพูดของเขาทำให้เมอร์ลินต้องหน้าแดงขึ้นมาอีก รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนโง่เขลาปัญญาเอาเสียจริงๆ