ตอนที่ 5 ตระกูจันทร์ประสบอุบัติเหตุ
และในขณะนั้นพ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นหายใจหอบเหนื่อย
และมีบอดี้การ์ดสามสี่คนวิ่งตามหลังเพื่อเข้ามาจับตัวเขาไว้
ก่อนหน้านี้เขาได้รับโทรศัพท์จากตำรวจและจากทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่า
ตระกูลจันทร์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเดินทางไปสนามบิน
เขาวิ่งเข้ามาในงาน ทำให้แขกและนักข่าวในงานต่างพากันตกอกตกใจ
คนที่กำลังจะสวมแหวนแต่งงานก็ต้องหยุดชะงักไป สายตาคุณท่านลู่มองไปทางเขาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ลู่อี้เทียนจ้องเขม็งไปทางเขาอย่างเยือกเย็นแล้วออกคำสั่งอย่างเลือดเย็นไร้ความปราณีด้วยความเดือดดาล
“ ลากมันออกไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้มันมาปรากฏต่อหน้าผมอีก ”
มิตามองดูพ่อบ้านด้วยแววตาสงสารจับใจแต่ภายใต้ดวงตาที่หรี่ลงนั้นกลับแฝงไปด้วยเกลียดชัง
เพราะใบหน้าอ่อนหวานอันอ่อนโยนช่วยเธอปกปิดใบหน้าที่แท้จริงได้ดีมากเลยทีเดียวถือว่าใบหน้าและตาภักดีต่อเธอจริงๆ
พ่อบ้านกลัวจนเข่าอ่อนทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรงบอดี้การ์ดจับกดเขาลงหน้าท้องแบนราบสัมผัสพื้น
แต่ถึงอย่างไรเขาก็พยายามควบคุมสติพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว
เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกตัดลิ้นไปเสียก่อนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างหวาดกลัว
“ คุณท่านตระกูลจันทร์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ทางตำรวจและโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าพวกเขาบาดเจ็บสาหัสจำเป็นต้องผ่าตัดด่วนครับ
และจำเป็นต้องมีญาติเซ็นให้การยินยอมเห็นด้วยกับการผ่าตัดครั้งนี้ หากชักช้าอาจช่วยชีวิตไว้ไม่ทัน ”
ตรัยคุณคิ้วกระตุกขมวดเข้าหากันเป็นปมด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
เมื่อได้ยินแบบนั้นคุณท่านลู่ก็ร้อนใจอยู่ไม่สุขอีกต่อไป
จึงลุกขึ้นยืนมองไปที่บอดี้การ์ดแล้วกล่าวอย่างดุดันว่า
“ พวกแก ปล่อยเขา! ”
จากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยท่าทางที่องอาจน่าเกรงขามและมีความเผด็จการขั้นเด็ดขาดไม่ไว้หน้าใครว่า
“ ตรัยคุณยกเลิกงานแต่งนี้ซะแล้วไปโรงพยาบาล ”
ทันทีที่ได้ยินมิตาถึงกับช็อกหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดร่างอ่อนระทวยในทันที
รวมไปถึงพ่อแม่ของเธอก็แทบจะเป็นลมกับความอับอายขายหน้าที่เกิดขึ้น
คำพูดของพ่อบ้านคำพูดของคุณปู่ถาถมใส่ตรัยคุณจนเขานิ่งอึ้งไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
อย่างคนไม่รู้สึกตัว สมองขาวโพลงว่างเปล่าดวงตาราวกับมองไม่เห็นอะไรอีกเลย
ราวกับพายุฝนกระหน่ำคลื่นลูกใหญ่สาดใส่เขาแล้วลากร่างลงทะเล
เขารู้สึกเบาหวิวจนหายใจไม่ออกคล้ายกับว่าเขานั้นไม่ใช่เจ้าของร่างนี้อีกต่อไป
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกล้มเหลวสูญสิ้นทุกอย่างในพริบตา
คุณท่านลู่เดินออกไปอย่างรีบร้อนท่ามกลางแขกและนักข่าว
พวกเขาหลีกทางเว้นพื้นที่ว่างให้คุณท่านลู่ไปจนถึงรถที่มารอรับ
ผ่านไปสักพักตรัยคุณค่อยๆได้สติกลับมามองเห็นปู่ตัวเองขึ้นรถไปแล้ว
แล้วเขาก็หันไปมองมิตาว่าที่เจ้าสาวของเขาที่อยู่ข้างๆด้วยความสับสนในใจ
ความสับสนวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นผู้คนเริ่มซุบซิบนินทา
ผู้คนในงานไม่รู้จะทำยังไงแขกเหรื่อต่างก็ทำตัวไม่ถูกเสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นเรื่อยๆ
สายตาดูถูกเหยียดหยามหล่นลงบนตัวของมิตา
" เธอดูสิขนาดคุณท่านลู่ยังไม่สนใจเลยแล้วเราจะอยู่ต่อทำไมล่ะ "
" ใช่ๆกลับกันเถอะ "
" ดูแล้วคุณท่านลู่คงไม่ต้องการหล่อนเป็นสะใภ้หรอก "
" นั่นสิ คุณหนูชิชาแห่งตระกูลจันทร์สิถึงจะเหมาะสมกับตระกูลคัง "
มิตาได้ยินทุกเสียงซุบซิบ เธอรู้สึกราวกับมีก้อนหินหลายสิบตันหล่นทับเธอจนหายใจไม่ออกเมื่อความอัปยศมาเยือน
เธอก็แสร้งทำเป็นหมดสติไปหวังให้ตรัยคุณหันมาสนใจเธอ
เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบและสายตาดูถูกของผู้คนตรัยคุณก็เรียกสติคืนแล้วก็เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า
“ ตามหมอมาดูแลคุณมิตาเร็วๆ! ”
ตรัยคุณจับมือมิตาไว้แน่นมองใบหน้าของมิตาแล้วเอ่ยว่า
“ มิตาคุณดูแลตัวเองให้ดีนะเดี๋ยวผมจะมากลับมาชดเชยให้คุณทั้งหมด ”
พูดจบเขาก็รีบวิ่งออกไปที่รถแล้วขึ้นรถขับออกไปด้วยความเร็วสูงอย่างไม่คิดชีวิต
เพราะมีอีกสามชีวิตที่รอเขาอยู่ สาวน้อยไร้เดียงสาที่ใสซื่อบริสุทธิ์รอยยิ้มใสๆนั้น
เพิ่งจะยิ้มให้เขาหยกๆเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาอยู่ๆจะจากเขาไปกะทันหันแบบนี้เขารับไม่ได้
แล้วเขาก็นึกถึงช่วงวัยเด็กขึ้นมา
“ พี่ตรัยคุณ ขนมวุ้นที่พี่ชอบค่ะ อ้าปากเร็วเดี๋ยวชิชาป้อน ”
“ พี่ตรัยคุณสัญญากับหนูนะคะว่าจะดูแลหนูเคียงข้างหนูตลอดไป "
เขายิ้มแล้วชูนิ้วก้อยขึ้นมาตอบเธอว่า
" อื้ม...ได้พี่สัญญา ”
“ พี่ตรัยคุณสอนการบ้านให้ชิชาหน่อยนะๆๆๆ ”
ภาพทั้งสองในวัยเด็กผุดขึ้นมาในสมองเขาต่อเนื่อง
แล้วภาพของทั้งสองที่วิ่งเล่นกันในสวนหน้าคฤหาสน์อย่างสนุกสนานก็ปรากฏขึ้นมา
“ พี่ตรัยคุณ ฮ่าๆๆๆ จับให้ได้ ไล่ให้ทันนะ ฮ่าๆๆๆ ”
เสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในหัวของเขาไม่หยุด
ไม่นานเขาก็มาถึงโรงพยาบาล เขารีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
พอไปถึงห้องผ่าตัดก็เห็นคุณปู่ของเขารออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวายใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก