บทที่ 4 หรือจะเป็นแค่เรื่อง…บังเอิญ (2)
ดูเหมือนนวลน้อยจะยังไม่รู้ตัวว่าถูกหล่อนแขวะกลับ เพราะยังพูดต่อหน้าตาเฉย
“ถ้าฉันมีลูกแบบนี้นะ ฉันไม่เอาไว้ให้มันโตหรอก อับอายวงศ์ตระกูลเสียเปล่าๆ”
เมื่อสิ้นสุดความอดทน มนสิชาจึงถามเสียงแข็ง “คุณหมายถึงใครล่ะคะ”
“ก็หมายถึงคนทั่วๆไปนั่นแหละ ดูลูกชายฉันสิ ไม่เคยทำให้ฉันเสียใจเลยสักครั้ง ขยัน เรียนก็จบปริญญา เอาแต่เรื่องชื่นใจๆมาฝากแม่” พูดพลางเหยียดยิ้มอย่างภาคภูมิในตัวบุตรชายที่มีอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวเดือดปุด หล่อนหันไปบอกแม่ค้าขายหมูว่า
“ไม่เอาหมูแล้วค่ะ ว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์สักระยะ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร !” จากนั้นก็หันหลังเดินไปทางอื่นทันที ปล่อยให้นวลน้อยมองตามหลังแล้วหันไปซุบซิบกับแม่ค้า
“ดูเถอะ เด็กรุ่นใหม่ไม่มีความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่บ้างเลย กิริยาปึงปังหน้าหงิกหน้างอ ดีนะที่ลูกชายฉันไม่เป็นแบบนี้”
“ค่ะ ปล่อยไปเถอะ ฉันไม่อยากยุ่งด้วย” แม่ค้าโบกมือว่อน ด้วยรู้นิสัยของนวลน้อยดีว่าชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านและเที่ยวเอาเรื่องแย่ๆของคนอื่นไปนินทากันอย่างสนุกปาก
นวลน้อยถอนหายใจยาว ตรงแขนสะพายกระเป๋าใบน้อย เดินกรีดกรายไปหาดูผัก และแน่นอนว่าปากได้พูดคุยกับแม่ค้าไปทั่ว
มนสิชารู้สึกว่าตลอดระยะทางที่เดินเลือกซื้อของนั้นมีสายตาแปลกๆมองหล่อนมาโดยตลอด บางคนก็ซุบซิบกันให้หล่อนได้ยินอีกต่างหาก
“ผู้ชายยังไม่ทันสู่ขอก็ยอมค้างคืนกับเขา ผู้หญิงสมัยนี้เป็นแบบนี้กันหมดเลยหรือไงกันนะ”
“เห็นทำตัวดีมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะพาผู้ชายเข้าบ้าน”
“ทำตัวง่ายๆแบบนี้เชื่อเถอะว่าไม่มีผู้ชายที่ไหนอยากได้ไปเป็นแม่ของลูกหรอก”
คำนินทามาพร้อมสายตาที่เหลือบแลมาทางมนสิชา ทำให้หล่อนรู้ตัวว่าคนพวกนั้นพูดถึงใคร หน้าหวานจึงตึงขึ้น เปลี่ยนใจจากที่คิดจะซื้อของกินไปตุนแล้วหันหลังกลับไปคว้าจักรยานปั่นกลับบ้านด้วยอารมณ์คุกรุ่น
จะเป็นใครไปได้ที่ทำให้หล่อนตกเป็นเป้าสายตาดูถูกแบบนี้ หากไม่ใช่นวลน้อย น่าเบื่อนักเชียว นี่หล่อนต้องตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกนานแค่ไหนกัน
หลังจากถึงบ้านแล้ว หญิงสาวก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน จมจ่อมกับความเงียบงันที่แสนว้าเหว่ เป็นผู้หญิงก็แบบนี้แหละ…วางตัวลำบาก
มนสิชานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ กว่าจะทำอาหารกินง่ายๆที่บ้านแล้วไปโรงพยาบาลเยี่ยมหลานสาว แต่เมลินีก็ยังไม่ฟื้น ยังคงนอนหลับตาพริ้มไม่ต่างจากวันวาน หล่อนอยู่คุยกับพยาบาลพิเศษอีกนานกว่าจะกลับบ้าน ทันทีที่ลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หล่อนก็เห็นรถคันหรูจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน…รถสีดำสนิทที่หล่อนจำได้ดีว่าเป็นรถของใคร
หญิงสาวรีบจ่ายเงินค่าจ้างให้หนุ่มแก่ที่ยื่นมือมารอรับเงิน จากนั้นก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ตัวบ้าน เห็นร่างสูงยืนรออยู่แล้ว
“มาพอดีเลยคุณมน ผมก็เพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี้”
“มาทำไมอีกคะ กลับไปนะ”
“ผมจะมาหาแฟนบ้าง มันผิดเรอะ” มุมปากได้รูปหยัดยิ้ม แม้จะแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมหล่อนหน้าซีดเซียวผิดปกติ ซ้ำตากลมยังแห้งแล้งจนชวนให้ใจหาย
“ช่วงนี้คุณอย่ามาบ้านฉันบ่อยๆได้ไหมคะ” หล่อนบอกเสียงอ่อน เหนื่อยใจจนไม่อยากพูดมากกว่านี้
“ทำไม ?”
“คุณไม่รู้เหรอไงว่าตอนนี้บ้านใกล้เรือนเคียงมองฉันยังไง เขามองว่าฉันเป็นผู้หญิงใจง่าย ไร้ยางอาย”
ชายหนุ่มหน้าเผือดสี ก่อนจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก “คุณก็กล้าชวนผมเข้าห้องตั้งแต่คืนแรกแล้วไม่ใช่เหรอ ก็ไม่น่าจะแคร์อะไรกับปากคนอื่นนิ !”
มนสิชากัดปากล่างจนแดงช้ำ มือกำเข้าหากันกันแน่นเพื่อข่มอารมณ์น้อยใจ จะโทษใครได้ในเมื่อสิ่งที่ทำลงไปล้วนเกิดจากการตัดสินใจของหล่อนเอง ดังนั้นคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดก็ควรเป็นหล่อน
“ใช่ค่ะ ฉันใจง่ายเอง แต่น่าแปลกนะคะเวลาถูกใครนินทาว่าร้าย ฉันกลับยังเจ็บ ทั้งๆที่ผู้หญิงหน้าด้านอย่างฉันไม่ควรรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ”
“มน…” เขมปัจน์ตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เลือกที่จะเงียบเมื่อมีเสียงแหลมดังขึ้น
“มน ฉันเอาขนมมาให้ลองชิม”
เมื่อทั้งคู่หันไปมองตามเสียงก็เห็นนวลน้อยเดินส่ายก้นเข้ามาใกล้ ในมือคือถึงพลาสติกที่บรรจุขนมไว้สองสามชิ้น ใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าดวงตากลับจับจ้องมองหน้าเขมปัจน์อย่างอยากรู้อยากเห็น
“ขอบคุณค่ะที่ซื้อขนมมาฝาก” หญิงสาวรับถุงขนมมาตามมารยาท แม้จะแปลกใจไม่น้อยว่าคนช่างตระหนี่อย่างนวลน้อยนึกอะไรขึ้นมาถึงยอมควักกระเป๋าตัวเองเพื่อซื้อขนมให้เพื่อนบ้านที่ไม่สนิทกันนักอย่างหล่อน
“โอ๊ย ไม่ได้ซื้อหรอก เนี่ย…แฟนไอ้อู๊ดทำขนมขาย อร่อยมากนะ อร่อยจริงๆ อยากให้เธอลองชิม”
‘อู๊ด’คือลูกชายเพียงคนเดียวของนวลน้อย มีรูปร่างสันทัด แม้จะหัวไม่ดีแต่ก็เรียนจบปริญญาตรี นั่นยิ่งทำให้นวลน้อยเชิด คุยฟุ้งไปทั่วว่าลูกตัวเองเลิศ ลูกตัวเองเก่ง ซ้ำยังดูถูกคนอื่นๆว่าไม่มีใครดีเท่าอู๊ดอีกด้วย
“ขอบคุณค่ะ” มนสิชาพูดห้วนๆ ขณะที่นวลน้อยมองหน้าเขมปัจน์แล้วยิ้ม
“แต่งตัวดีนี่นา รูปหล่อซะด้วย เป็นนายธนาคารหรือเซลล์แมนจ๊ะ เป็นแฟนมนเหรอ มีข่าวดีเมื่อไหร่อย่าลืมบอกกันนะจ๊ะ จะช่วยใส่ซองให้”