บทที่ 4 หรือจะเป็นแค่เรื่อง…บังเอิญ (1)
บทที่ 4
หรือจะเป็นแค่เรื่อง…บังเอิญ
หลังอาบน้ำเสร็จ เขมปัจน์ก็นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดิม หอบเสื้อผ้าที่ใส่มาเมื่อวานซึ่งหล่อนซักไว้ให้แล้วมาวางบนพื้นกลางห้องโถง แล้วยื่นหน้าเข้าไปหาหล่อนในห้องครัว ถามว่า
“มีเตารีดไหม”
“มีค่ะ แต่ฉันไม่ได้ใช้มานานแล้วนะ เป็นโต๊ะตัวเตี้ยๆลายดอกสีเขียวที่ขาโย้เย้หน่อยน่ะค่ะ ส่วนตัวเตารีดก็วางใกล้ๆกันนั่นแหละ อยู่ตรงข้างตู้วางรางเท้าใกล้ประตู คุณจะรีดผ้าเหรอคะ” หญิงสาวหันมาถาม ทั้งๆที่มือยังสาละวนกับการล้างผักในชามอ่างให้สะอาด
“อื้อ” เขาพยักหน้ารับ
“คุณก็ทนใส่ยับๆไปก่อนสิคะ แล้วค่อยแวะไปเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อนออกไปทำงาน”
“คุณนี่เป็นผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อยเอาซะเลยนะคุณมน” ตาคู่คมบอกชัดถึงความระอาใจ “จะให้ผมใส่ชุดยับยู่ยี่ขนาดนั้นไปถึงบ้านเชียวเหรอ อย่างน้อยรีดสักนิดก็ยังดี”
“ค่า พ่อคนเพอร์เฟ็กต์ อยากทำอะไรก็ทำเถอะค่ะ ตามสะดวกเลย”
“อื้อ” ชายหนุ่มรับคำ ก่อนจะผลุบหน้าออกจากห้องครัว ตามหาเตารีดที่หล่อนบอกจนเจอ จากนั้นก็กางโต๊ะที่พับขาไว้ เสียบปลั๊กไฟ เอาเสื้อวางลงบนโต๊ะแล้วฉีดน้ำพรมจนแฉะนิดๆแล้วค่อยๆรีดผ้าอย่างช้าๆ
เคยเห็นคนรับใช้ทำ นึกว่าจะง่ายๆ ไม่คิดเลยว่าเมื่อต้องลงมือทำด้วยตัวเองจะยากเหมือนกัน
เขมปัจน์ถอนหายใจ วางหน้าเตารีดบนผ้า แล้วลุกเข้าครัว ไปถามหล่อนว่า
“คุณมีชุดอะไรจะฝากผมรีดบ้างไหมมน” เขาเสนออย่างมีน้ำใจ
“ไม่มีค่ะ” หล่อนปฏิเสธทันควัน
“ผมรีดผ้าเรียบนะ อยากให้คุณเห็นฝีมือ”
หล่อนหรี่ไฟเตาแก๊สแล้วหันมาเท้าสะเอวมองหน้าเขา เห็นชัดว่าในดวงตาคู่คมส่อแววกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด น่าแปลก…แค่เรื่องง่ายๆสำหรับหล่อน แต่กลับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ไม่ต่างจากเด็กเล็กๆที่เพิ่งหัดลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำเป็นครั้งแรก
“คุณเคยรีดผ้าด้วยเหรอคะ”
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และผมก็ทำได้ดี” เขมปัจน์อมยิ้ม ยืดอกอย่างภาคภูมิ ขณะที่หญิงสาวทำจมูกฟุดฟิด หันไปมองกระทะที่ตั้งบนไฟอ่อนๆก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
“กลิ่นอะไรไหม้ๆคะ”
“อือ…จริงด้วย อะไรไหม้” เขาหันซ้ายหันขวาหาที่มาของกลิ่น ส่วนหล่อนพุ่งปราดออกจากครัวด้วยความตกใจจนเขาต้องรีบวิ่งตามไปติดๆ
“เกิดอะไรขึ้นคุณมน”
ร่างบางทรุดนั่งยองๆกับพื้น ยกเตารีดขึ้นมา ใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนหันไปตวาดแว๊ดใส่เขา
“ถ้าฉันมาช้ากว่านี้อีกนิด ไฟไหม้บ้านขึ้นมา คุณจะรับผิดชอบยังไงคะ”
เขมปัจน์หน้าเสีย ก้มหยิบเสื้อขึ้นมาดูในระดับสายตา…ไหม้เป็นสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ ควันร้อนๆยังลอยกรุ่นอยู่เนืองๆ ครั้นเหลือบตามองคนที่นั่งเดือดปุดอยู่บนพื้น เขาก็ยิ่งใจแป้ว
“ผมขอโทษคุณมน ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้”
“คุณสะเพร่าที่สุด” หล่อนถอดปลั๊กไฟออก พลางบ่นอุบอิบ “ทำไม่เป็นก็ยังอยากจะทำ”
ชายหนุ่มหน้าม่อย เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ยอมสวมเสื้อตัวที่ไหม้เป็นรอยเตารีดตรงหน้าอก กำลังจะก้าวเท้าออกนอกบ้าน มนสิชาก็โผล่ออกมาจากครัว ชวนว่า
“อยู่ทานมื้อเช้าด้วยกันก่อนสิคะ”
“ไม่ !” เน้นเสียงกระแทก แล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง “ผมจะไปกินที่บ้านผม” จากนั้นก็ผลุนผลันออกจากบ้านไป สักพักหล่อนก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล่นออกจากบริเวณบ้าน
เมื่อเขากลับไปแล้ว หญิงสาวก็ถอนหายใจยาว…ผู้ชายคนนี้พิลึกจริง บางครั้งปากเสีย ตาดุ เย็นชา บางคราวอ่อนโยนระคนเร่าร้อน ทว่าเช้านี้กลับทำตัวเหมือนเด็กๆ
มนสิชารับประทานข้าวคนเดียวตามลำพัง กว่าจะอิ่มก็ 9 โมงเช้าแล้ว หล่อนอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดกระโปรงเอี๊ยมสีเหลืองสดใสลายดอกไม้กระจุมกระจิ๋ม
ผมยาวมัดรวบขึ้นสูง ทาแป้งและทาปากนิดๆพอให้เป็นสีระเรื่อไม่ซีดเซียว จากนั้นก็คว้าจักรยานคันโปรดปั่นไปตลาดนัดเพื่อซื้อของสดมาตุนไว้ในตู้เย็น
ที่วัดซึ่งเคยเงียบสงบ วันนี้ช่วงบ่ายกลับคลาคล่ำด้วยผู้คนหลายสิบที่มาจับจ่ายซื้อของ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านละแวกนี้ ใน 1 อาทิตย์จะมี 1 วันที่วัดแห่งนี้จะถูกจับจองโดยแม่ค้าพ่อค้าที่พากันตั้งแผงขายผัก ขนม เนื้อสัตว์ แม้จะมีของมาขายไม่มากนัก แต่ก็สะดวกสำหรับคนที่ไม่อยากไปไกลถึงตลาด
มนสิชาจอดจักรยานไว้ตรงที่ว่างข้างถนน ก่อนเดินลึกเข้าไป มองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาของถูกใจ และระหว่างที่หยุดตรงร้านขายเนื้อหมู หล่อนก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องมองไม่วางจนต้องเหลียวไปมองด้านหลัง จึงรู้ว่าเจ้าของสายตาซอกแซ่กคู่นั้นคือนวลน้อยนั่นเอง
นวลน้อยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับหล่อน มีสามีเป็นเจ๊ก ช่างตระหนี่ถี่เหนียว อวดอ้างว่าเข้าวัดทำบุญเสมอ ทว่ากลับชอบนินทาคนอื่น บางครั้งเหยียดหยันคนรู้จัก จนหลายคนพากันไม่ชอบหน้า
แต่สำหรับหล่อนแล้ว…รู้สึกเฉยๆกับนวลน้อย แม้จะรู้ดีว่าลับหลังหล่อน นวลน้อยมักเอาเรื่องหล่อนไปพูดให้คนอื่นฟังแบบเสียๆหายๆอยู่บ่อยครั้งก็ตาม
แต่จะสนใจอะไรกับเสียงนกกระจิบนกกระจอกที่หาสาระไม่ได้กันเล่า หล่อนถือว่าตัวเองไม่ได้ขอข้าวใครกิน และไม่จำเป็นต้องเก็บคำพูดของคนที่ไม่ประสงค์ดีมาขบคิดจนทำให้ตัวเองพลอยเครียดไปด้วย
เพราะคนแบบนี้มักรู้เรื่องคนอื่นดีทุกอย่าง…ยกเว้นเรื่องตัวเอง !
เมื่อสานสบสายตาเล็กรีของผู้หญิงปากสว่างที่อายุน่าจะเป็นแม่ของหล่อนได้ หล่อนก็สะบัดหน้ากลับมาเลือกชิ้นหมูไม่ติดมันต่อ แต่เรื่องไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะนวลน้อยพาร่างที่ชอบสวมเสื้อกรุยกรายและกางเกงขาบานมาหยุดยืนข้างหล่อน ปากก็ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“เมื่อคืนฝนตกหนัก บรรยากาศดี น่าอยู่กับผู้ชายเนอะ ว่าไหม ?”
หญิงสาวสะดุ้ง แต่เก็บสีหน้าตระหนกไว้ได้ทัน แล้วหันไปยิ้มนิดๆให้อีกฝ่าย
“สวัสดีค่ะคุณนวล แหม…ไม่คิดว่าอายุรุ่นราวคุณนวลจะเป็นคนโรมานซ์ไม่เบา เมื่อคืนคงสนุกกับสามีเต็มที่สินะคะ”
หญิงวัยกลางคนหน้าแดงก่ำ ก่อนเชิดคอขึ้นสูง จิกหางตามองมนสิชาแล้วพูดเสียงเรียบ แต่คนฟังรู้ดีว่าในความเรียบนั้นมันมีความขรุขระปนอยู่ด้วย
สำเนียงที่เต็มไปด้วยความหมิ่นแคลนแกมเย้ยหยันทำให้หญิงสาวถึงกับสะอึก
“ผู้หญิงสมัยนี้ก็นะ…พาผู้ชายมานอนค้างที่บ้านแบบไม่อายใคร แต่ก็อย่างว่าแหละ พ่อแม่สมัยนี้ไม่ค่อยมีเวลาอบรมลูกว่าการเป็นกุลสตรีที่ดีน่ะควรทำยังไง”
“ผู้ใหญ่สมัยนี้ก็แปลกค่ะ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆแต่กลับชอบยุ่ง”