บทที่ 3 ว่าที่เจ้าสาวของผม (3)
“จะให้บอกจริงๆเหรอ” มนสิชาเลิกคิ้วอย่างยียวน จนชายหนุ่มต้องรีบปราม
“ขึ้นรถก่อนเถอะคุณมน คุยตรงนี้ไม่สะดวก”
มนสิชาชั่งใจพักใหญ่ กว่าจะยอมเปิดประตูทางตอนหลังแล้วก้าวเข้าไปนั่ง ซึ่งภาวิตาก็เอี้ยวหน้ามามอง ถามย้ำ
“ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่าไง พูดมาให้เคลียร์เลยนะ”
“อ้อ…อยากรู้งั้นเหรอคะ ?” มนสิชาไขว้ขา กอดอก จีบปากจีบคอพูดหน้าตาเฉย “ก็ฉันเป็นว่าที่เจ้าสาวของคุณข้าวนี่คะ ผู้หญิงอื่นก็เป็นแค่ตัวเกะกะเท่านั้นแหละ ทีนี้เข้าใจชัดเจนหรือยังคะ ?”
“อะ…” ภาวิตาอ้าปากค้าง กระพริบตาถี่ ก่อนกรีดเสียงแหลม “ไม่จริง เธอโกหก คนมอซออย่างเธอนี่นะคุณข้าวจะคว้าไปเป็นแฟน หัดมโนอะไรที่สมจริงซะบ้างนะ ฉันเบื่อผู้หญิงเพ้อๆแบบเธอที่สุด สร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะ”
“ก็ไม่รู้สินะ” มนสิชายักไหล่ พลางจุดยิ้มที่มุมปาก “คุณข้าวอาจเบื่อผู้หญิงปากแดงๆกลิ่นน้ำหอมฉุนๆมั้งคะ เลยหันมาสนใจผู้หญิงบ้านๆปอนๆอย่างฉันแทน”
“กรี๊ด ! ไม่จริง นังหน้าด้าน” ภาวิตาโวยวายลั่น เล่นเอาคนที่ตั้งสมาธิขับรถอยู่ชักจะฉุน เลยหันมาพูดเสียงแข็งใส่
“ช่วยหยุดส่งเสียงดังสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมแซนดี้ ผมไม่อยากหูหนวกตั้งแต่ยังหนุ่มๆ”
“คุณข้าวก็บอกแซนดี้มาสิคะว่ามันไม่จริง”
ชายหนุ่มปรายตามองคนข้างกายแว่บหนึ่ง แล้วตอบเสียงเรียบ “จริง”
“อะ…” สาวผมแดงอ้าปากค้างเป็นครั้งที่สอง ก่อนหวีดเสียงแหลม “คุณพูดเล่นหรือเปล่าคะคุณข้าว ผู้หญิงสกปรก มอซอแบบนี้ไม่ใช่สเปคของคุณนี่คะ”
“แล้วไงล่ะ ?” เขมปัจน์ย้อนถามเสียงเรียบ “ต้องแบบคุณใช่ไหมถึงควรจะเป็นสเปคของผม อย่าลืมสิว่ารากเหง้าของคุณก็เคยเป็นลูกชาวนา ชื่อจริงๆคือบุญถม พอโตมาก็สลัดคราบกลิ่นโคลนสาบควายออก เปลี่ยนชื่อซะฝรั่งจ๋า เปลี่ยนสีผม เปลี่ยนทุกอย่าง ยกเว้นจิตใจคุณที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เคยทะเยอทะยานและดูถูกคนอื่นยังไงก็ยังเป็นยังงั้นเสมอ”
“อะ…” ภาวิตาอ้าปากหวอไม่ยอมหุบ “รู้อดีตของแซนดี้ได้ไงคะ”
“ก่อนจะควงใครออกงาน ผมสืบประวัติมาหมดแหละ”
“รู้แบบนี้แล้วทำไมยังคบหาแซนดี้อีกล่ะคะ”
“เพราะคุณเป็นคนทะเยอทะยานและชอบความฟุ้งเฟ้อไง ผมถึงคิดว่าจะไม่มีปัญหาตามมาหากควงคุณออกงาน ถึงบ้านคุณแล้วครับแซนดี้” ชายหนุ่มตัดบทเมื่อจอดรถหน้าบ้านหลังใหญ่ ซึ่งสาวผมแดงก็ทำท่ากระฟัดกระเฟียด ก่อนปรายตามองคนที่นั่งเบาะหลัง
“คนอย่างเธอ สักวันจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า เพราะคนอย่างคุณข้าวรักใครไม่เป็นหรอกนะ ฉันขอเตือน” พูดจบก็ผลุน ผลันลงจากรถด้วยน้ำตานองหน้า เล่นเอามนสิชาถึงกับอึ้ง หล่อนนั่งหน้าชาพร้อมความคิดที่ลอยวนเวียนในสมอง
ใบหน้าของเขมปัจน์ดูเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรสักนิดที่ทำผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียน้ำตา เหมือนปิศาจรูปหล่อที่ไร้หัวใจ
หากบั้นปลายอนาคตต้องแต่งงานกับเขา หล่อนคงไม่มีวันมีความสุข ต้องจมอยู่กับน้ำตาทุกวันแน่ !
“เอ้า นั่งเหม่ออะไรอยู่คุณมน มานั่งด้านหน้าคู่กับผมสิ” เสียงทุ้มเรียกสติหญิงสาวให้กลับคืน หล่อนกระพริบตาถี่ๆ ก่อนบอกเสียงแข็ง
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งตรงนี้ได้”
“แต่ผมไม่อนุญาต” เขมปัจน์ค้านเสียงขุ่น “ผมไม่ใช่คนขับรถของคุณนะ จะได้ปล่อยให้คุณนั่งเบาะหลังเชิดคอเป็นคุณนายน่ะ มานั่งคู่กับผมเดี๋ยวนี้”
“เอ๊ะ ! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ทำไมคุณต้องบังคับด้วยนะ คนรวยนี่ไร้สาระจริงๆ” หล่อนแขวะ แต่ก็ยอมมานั่งคู่กับเขาแต่โดยดี ซึ่งชายหนุ่มก็ค่อยๆขับเคลื่อนรถตรงไปทางด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่ตากลมคอยเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมเป็นระยะ
แม้จะเห็นเพียงด้านข้าง แต่เขาก็หล่อชนิดหาตัวจับได้ยาก คิ้วเข้ม สันจมูกโด่งสวย ริมฝีปากสีชมพูตัดกับผิวขาวนวล โดยรวมแล้วเขาเป็นคนมีเสน่ห์มากทีเดียวหากปากของเขาจะเลือกใช้คำที่หวานหูมากกว่านี้
คนอะไร…ปากเสียจริงๆ
“ใครจะไปมีสาระเหมือนคุณล่ะคุณมน วันๆไม่หางานสุจริตทำ แต่เที่ยวไล่มอมเหล้าผู้ชายแล้วเรียกร้องค่าเสียหาย” เขาพ่นวาจาร้ายกาจออกมา ทำเอาหล่อนสะอึก ส่งตาเขียวขุ่นให้แล้วบอกเสียงแหลม
“แล้วผู้ชายก็เห็นแก่ได้เองนี่คะ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเองแล้วจะโทษใครได้ !”
เขมปัจน์นิ่ง มีเพียงสันกรามที่บดเข้าหากันแน่นเหมือนข่มอารมณ์บางอย่าง บรรยากาศภายในรถมาคุจนหล่อนอึดอัด แอบโล่งใจไม่น้อยที่รถแล่นมาจอดหน้าบ้านหลังเล็กที่หล่อนคุ้นเคย
หญิงสาวเตรียมเปิดประตูรถลง แต่ถูกเขาจับข้อมือไว้เสียก่อน ครั้นเหลือบมองหน้าเขาด้วยสายตากึ่งตั้งคำถาม เขาก็พูดว่า
“ไหนคุณย้ำนักหนากับแซนดี้ว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของผม ถ้างั้นก็ทำตัวให้สมเป็นแฟนกันหน่อยสิ”
“นั่นมัน…” หล่อนตั้งท่าจะพูดบางอย่าง แต่ถูกริมฝีปากได้รูปชิงจูบอย่างร้อนแรงเสียก่อน…จูบแผ่วๆที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับจนหญิงสาวตัวอ่อนวูบ ลืมหมดสิ้นทุกอย่าง มือเล็กขยุ้มอกเสื้อเขาจนยับย่น
จูบที่ชวนหลงใหลมาพร้อมกลิ่นไอบุรุษเพศที่ชวนวาบหวาม…วูบไหว ร้อนผ่าวไปทั้งร่างราวถูกมือหนาลูบไล้สัมผัสผิวนวลเนื้อ
ลิ้นของชายหนุ่มเกี่ยวรัดรึงดูดซับแรงๆกับปลายลิ้นของหล่อน…นุ่มนวลชวนเคลิ้มไหว จนตาคู่โตหรี่ปรือเกือบหลับสนิท รับรู้ได้รางๆว่าเขาถอนจูบออกแล้วบรรจงแนบจุมพิตมาอีกครั้ง…ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สนแม้ร่างหล่อนจะระทวยสิ้นเรี่ยวแรงจะทานไหว ได้แต่ปล่อยให้เขาล่วงเกินด้วยจูบอ่อนโยนอย่างลืมตัว
จวบจนเขาดึงใบหน้าออกห่างแล้วนั่นแหละ หล่อนถึงได้สติ สบตาคู่เข้มที่อยู่ใกล้ระยะประชั้นชิด ในแววตาคู่นั้นเหมือนฉายชัดถึงความต้องการ ทว่าไม่นานก็จางหายหลงเหลือเพียงความเย็นชาเสมือนเก่า
“จะลากับแฟนทั้งทีก็ควรจูบผมบ้าง มันเป็นหน้าที่ของคุณนะมน”
มนสิชาเม้มปากแน่น นั่นสิ…การมีคู่รักในวันนี้เป็นหน้าที่ที่พึงทำ ไม่ใช่เพราะความรักอย่างที่ควรจะเป็น
“ค่ะ ถ้างั้นฉันขอตัวก่อน” มือเล็กผลักไสอกหนา ทว่าเขาไม่ขยับออกห่าง ซ้ำยังออกคำสั่งอีกว่า
“ภายใน 3 วันนี้คุณต้องสลัดคราบสาวปอนออกแล้วเปลี่ยนลุคเป็นสาวทันสมัยที่ผมชอบ”
หญิงสาวอ้าปากค้าง ดึงดันที่จะไม่ทำตามที่เขาสั่ง “ฉันต้องการเป็นตัวของตัวเอง ทำไมต้องทำอะไรให้ถูกใจคุณด้วยมิทราบ”
“นั่นเพราะคุณในวันนี้ไม่ใช่คุณในวันก่อนอีกต่อไป จะให้ปล่อยผมแตกปลายรุงรัง หน้ามันเยิ้มแบบนี้ไม่ได้ กรุณารักษาหน้าของผมในตำแหน่งว่าที่เจ้าสาวด้วย”
“แต่ฉัน…” หล่อนตั้งท่าจะค้าน แต่เขาตัดบทว่า
“ไม่มีแต่ และก็เชิญลงจากรถผมได้แล้วครับคุณว่าที่เจ้าสาว” เขาผายมืออย่างสุภาพ แต่แววตาบ่งชัดว่าเย้ยหยัน ทำเอาหล่อนเดือดปุด
หนอย…กล้าออกคำสั่งกับหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดีล่ะ ในเมื่อเขาใช้คำว่า‘ว่าที่เจ้าสาว’ในการกะเกณฑ์หล่อน หล่อนก็จะใช้คำคำนี้กับเขาบ้าง คอยดูล่ะกัน !
“ทำหน้าเหมือนอยากจูบผมอีกรอบเลยนะ หรือเมื่อกี้ยังไม่หนำใจคุณ เอ้า…อยากทำอีกก็เชิญ ผมสมยอม” ชายหนุ่มกระเซ้า ยื่นหน้าเข้าใกล้ แต่ถูกหล่อนผลักหน้าออกห่าง ตามด้วยเสียงแหว
“ตาบ้า ฉันไม่น่าซวยมาเจอผู้ชายอย่างคุณเลย หึ” จากนั้นก็สะบัดหน้าพรืดลงจากรถ เดินฉับๆเข้าบ้านโดยไม่เหลียวมองด้านหลังอีกเลย เลยไม่ทันเห็นว่าตอนนี้ชายหนุ่มกำลังหัวเราะ ตาคู่คมรื่นรมย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เออแฮะ…ผู้หญิงธรรมดาๆอย่างหล่อน แต่อยู่ใกล้แล้วไม่เคยนึกเบื่อเลย เขาชักสนุกขึ้นมาแล้วสิ คราวหน้าจะหาเรื่องอะไรมาแกล้งหล่อนอีกดีนะ ?