บทที่ 3 ว่าที่เจ้าสาวของผม (2)
“คุณมนพูดเหมือนรู้จักคุณข้าวเป็นการส่วนตัวเลยนะคะ”
คำถามแกมหยั่งเชิงของพยาบาลสาว ทำเอาหล่อนถึงกับสะอึก ก่อนปฏิเสธเสียงรัว
“เปล่าค่ะ แค่เดาๆเอา ผู้ชายร่ำรวย การงานดี หน้าตาหล่อ ส่วนใหญ่ก็นิสัยหยิ่งๆทั้งนั้นแหละค่ะ”
“เอ…แต่ฉันว่าไม่หยิ่งนะ” ชลสายค้าน แล้วเสริมต่ออีกว่า “เคยเห็นข่าวอยู่บ่อยๆว่าคุณข้าวชอบช่วยงานการกุศล บริจาคเงินช่วยเด็กกำพร้า บูรณะซ่อมแซมวัด”
“เขารวยนี่คะ อาจจะแค่อยากสร้างกระแสให้คนอื่นเห็นว่าเขาเป็นคนดีก็ได้” มนสิชาไม่วายจิกกัดจนอีกฝ่ายถึงกับหลุดขำ
“อย่างคุณข้าวนี่คงไม่สร้างภาพหรอกค่ะ ครั้งก่อนเขาพาคู่ขามาโรงพยาบาล เจอเด็กที่ถูกแม่คลอดแล้วทิ้งไว้ พยาบาลต้องช่วยกันดูแล คุณข้าวเห็นยังไปขออุ้มเลยค่ะ จากนั้นก็มาเยี่ยมเด็กทุกวัน ซื้อของเล่นมาฝากจนเด็กแข็งแรงพอเลยถูกส่งไปสถานสงเคราะห์ คุณข้าวถึงหายหน้าหายตาไป แต่ก็ได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆว่าเขาเป็นคนรักเด็กมาก ถึงจะเห็นในข่าวว่าเขาบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ อาจดูเหมือนสร้างกระแสอย่างที่คุณมนคิด แต่ฉันกลับคิดว่าคุณข้าวเป็นคนที่จริงใจและใจดีแม้กระทั่งตอนที่ไม่ได้อยู่หน้ากล้องของนักข่าว อย่างตอนที่มาเยี่ยมเด็กถูกทิ้งไงคะ ไม่เห็นมีนักข่าวตามมา แต่เขาก็ยังทำดี แบบนี้จะเรียกว่าสร้างภาพได้ไง” ชลสายร่ายยาว ก่อนปิดท้ายด้วยคำว่า “แต่ก็อย่างว่าแหละค่ะ ถึงเขาจะรักเด็ก แต่คงเกลียดผู้หญิง เพราะมีผู้หญิงเสียน้ำตาให้เขานับไม่ถ้วน”
มนสิชาเม้มปากแน่น แล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ หมอนี่เกลียดผู้หญิงแน่ๆ”
ที่ยืนยันได้เช่นนี้เพราะหล่อนประสบมาแล้วด้วยตัวเอง เขมปัจน์อาจไม่ชอบผู้หญิง แต่กับหล่อนแล้ว…เขาคงเกลียดเข้าไส้เลยล่ะ
“แหม…ดูเหมือนคุณมนจะไม่ชอบคุณข้าวเอาเสียมากๆ ระวังนะคะ เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น” ชลสายตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะ
“ไม่มีทางค่ะ ถ้าได้คนอย่างคุณข้าวมา ฉันคงเครียดทุกวันว่าเขาจะนอกใจหรือเปล่า”
“แต่คนเจ้าชู้ถ้ารักใครก็รักจริงนะคะคุณมน”
“แต่เขาไม่มีวันรักฉันค่ะ” หญิงสาวตัดบทห้วนๆ นั่นสิ…คนอย่างเขมปัจน์น่ะหรือจะมารักผู้หญิงธรรมดาอย่างหล่อน แค่คิดก็ผิดแล้วล่ะ…
“เอ…ดูเหมือนคุณมนจะอารมณ์เสียนะคะ”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ฉันขอกลับก่อนนะคะ ว่าจะไปหางานใหม่ทำ ฝากหนูเมด้วยนะคะคุณชล”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ขอให้ได้งานไวๆนะคะ” ชลสายยิ้มให้พร้อมอวยพร
“ขอบคุณค่ะ” มนสิชายิ้มตอบ ก่อนเดินออกจากห้องพักคนไข้ไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น ภาพที่เขมปัจน์เดินคู่กับสาวไฮโซคนนั้นยังคงติดอยู่ในความคิดไม่ยอมเลือนหาย
จนกระทั่งเดินพ้นตัวตึกผู้ป่วย หล่อนก็ยืนริมถนนรอเรียกรถรับจ้างสักคันที่นานๆครั้งจะผ่านมาทางนี้เสียที แดดยามสายของวันนี้แผดกล้าจนหล่อนแสบผิวไปหมด ได้แต่หันซ้ายหันขวา แต่รถที่ผ่านไปมาก็ไม่ใช่รถรับจ้างที่หล่อนต้องการ
ช่วงที่เตรียมถอยไปหาร่มไม้เพื่อหลบแดดสักระยะ ก็พอดีมีรถยนต์คันหรูสีแดงเพลิงแล่นมาจอดเสียก่อน หล่อนเขม้นตามองก็เห็นว่าเป็นรถราคาแพงหลักล้าน ไม่ใช่รถตุ๊กตุ๊ก รถแท็กซี่ที่หล่อนรอคอย
สักพักกระจกฝั่งคนขับก็เลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นหน้าคมเข้มของเจ้าของรถที่กำลังยิ้มเย้ยหล่อนอยู่
“ว่าไงคุณว่าที่เจ้าสาว มายืนอาบแดดอะไรตรงนี้ แค่นี้ยังดำไม่พออีกเหรอ”
ฟังเขาถามแล้ว หล่อนก็เดือดปุด หน้างอหงิก สวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้
“แหม ฉันนึกว่าคุณชอบผู้หญิงผิวคล้ำซะอีก”
“ผมชอบผู้หญิงทุกแบบ ยกเว้นแบบคุณ” พูดพลางหรี่ตามองหล่อนอย่างประเมิน “ถามจริง มาทำตัวเป็นปลาเกลือแดดเดียวแถวนี้ ไม่มีงานการทำเหรอ”
“คุณล่ะคะ ไม่มีงานทำเหรอ ถึงขับรถร่อนไปร่อนมาแบบนี้ หรือว่าถือตัวเองรวยอยู่แล้วเลยไม่ต้องขยันก็มีกินเหลือปากเหลือใช้คะ ?” หล่อนถามพร้อมยิ้มหวาน…เป็นรอยยิ้มที่แสดงชัดว่าเชือดเฉือน จนชายหนุ่มหน้าบึ้ง ตอบห้วนๆ
“ผมมาทานข้าวกับแซนดี้ ขึ้นรถมาสิคุณมน เดี๋ยวผมจะแวะพาคุณไปส่งที่บ้านด้วย”
“เอ๊…ขาไปก็ไปกับแซนดี้สองคน ทำไมขากลับต้องพ่วงคนอื่นให้เกะกะรถด้วยล่ะคะคุณข้าว” เจ้าของเสียงแหลมซึ่งนั่งคู่คนขับออกกิริยาไม่พอใจอย่างเด่นชัด พลางเหลือบตามองมนสิชาอย่างดูถูก และนั่นก็ทำให้คนที่โดนมองหมิ่นถึงกับหงุดหงิด
“ใครกันแน่คะที่เป็นตัวเกะกะให้หนักรถน่ะ” มนสิชาโต้ไป เล่นเอาหญิงสาวที่นั่งทาแป้งตลับตาขุ่น ปากเม้มเป็นเส้นตรงอย่างฉุนเฉียว
“เธอพูดแบบนี้หมายความว่าไง ?”