บทที่ 3 ว่าที่เจ้าสาวของผม (1)
บทที่ 3
ว่าที่เจ้าสาวของผม
บนเตียงสีขาวที่มีลายชื่อโรงพยาบาลประดับไว้เด่นหรา ข้างเตียงเป็นเสาน้ำเกลือและเครื่องช่วยหายใจที่ต่อชีวิตแม่หนูร่างจ้อยซึ่งนอนหลับตาสนิทไม่รับรู้อะไร
ไม่รู้กระทั่งมีแววตาเศร้าๆของคนเป็นน้ายืนมองนานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว มือเรียวแตะลงบนใบหน้าจิ้มลิ้มขาวซีดของเมลินีอย่างแสนเป็นห่วง
หลานอายุ 3 ขวบ วัยกำลังน่ารัก ช่างฉอเลาะ แต่ตอนนี้ไม่มีเสียงเจื้อยแจ้วนั่นอีกแล้ว มีเพียงความเงียบงันที่ทำให้หล่อนร้องไห้ทุกครั้งที่มาเยี่ยม
“หนูเม เมื่อไหร่จะลืมตาตื่นเสียที ตื่นมาอยู่กับน้า มาเป็นกำลังใจให้น้า เราเหลือกันแค่สองคนน้าหลานแล้วนะ ได้โปรด..” เสียงหล่อนสั่นแต่ไม่มีน้ำตาไหลสักหยด อาจเป็นเพราะหล่อนร้องไห้มามากจนตอนนี้ไม่เหลือหยดน้ำแห่งความอ่อนแอนั่นอีก ทว่าหัวใจกลับเจ็บปวดเหมือนมีมือดีมาบีบคั้น
ไม่มีอาการตอบสนองจากเมลินี มีเพียงหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของเด็กหญิงที่ช่วยบอกให้หล่อนรู้ว่าหลานสาวคนนี้ยังมีชีวิตอยู่
ต่อให้ต้องลำบากกว่านี้สักเท่าไหร่ จะต้องเสียเงินอีกกี่หน หล่อนก็จะพยายามให้ถึงที่สุด เพื่อนหลานตัวน้อย และพี่สาวที่ล่วงลับไปแล้ว
พยาบาลสาวที่ถูกจ้างให้มาดูแลเมลินีเป็นกรณีพิเศษได้พูดขึ้นหลังยืนมองมนสิชามาพักใหญ่
“น่าสงสารแกนะคะ หน้าตาก็น่ารัก ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย”
“คงเป็นเวรกรรมมั้งคะ แม่ตาย ส่วนตัวเองต้องมานอนเป็นผักแบบนี้”
“ยังมีโอกาสรอดนะคะคุณมน อย่าเพิ่งคิดมากไป” ชลสาย พยาบาลวัย 25 ปีเอ่ยปลอบใจ ตามประสาคนที่ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีมากไปกว่านี้
“หลานฉันจะมีโอกาสฟื้นขึ้นมาไหมคะ”
“ต้องรอราวๆ12เดือนค่ะ แพทย์ถึงจะบอกได้ว่าน้องเมมีสิทธิ์ที่จะฟื้นขึ้นมาเป็นปกติได้อีกหรือเปล่า”
“โธ่…” มนสิชาถอนหายใจ ตาแดงช้ำ “นี่ผ่านไปแค่ 3เดือน ฉันยังทุกข์ขนาดนี้ ถ้าต้องทนเห็นหนูเมเป็นแบบนี้สักปี ฉันจะทำยังไง”
“คุณต้องเข้มแข็งนะคะ น้องเมไม่มีใครอื่น มีแค่คุณ คุณต้องอดทนและเชื่อมั่นไว้ว่าสักวันน้องเมจะตื่นมาวิ่งเล่นได้เหมือนเด็กๆคนอื่น”
“ไม่รู้หนูเมต้องนอนที่โรงพยาบาลนานเท่าไหร่ ทั้งๆที่วัยนี้ควรได้เข้าเรียนอนุบาลเหมือนเด็กคนอื่นๆเขา” มนสิชาตาสลดวูบ กำมือแน่นเพื่อข่มความเศร้าไม่ให้แสดงออกชัดมากไปกว่านี้
“ถ้าน้องเมสามารถหายใจเองได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ก็จะกลับบ้านได้ค่ะ แต่คุณมนต้องเรียนรู้วิธีดูแลน้องเมที่ถูกต้องนะคะ เพราะน้องเมไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้”
“อย่างน้อยก็ให้หนูเมหายใจได้ด้วยตัวเองก็ยังดี” หญิงสาวหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ ก่อนเสเปลี่ยนเรื่องไปว่า
“คุณชลดูเป็นคนใจดีนะคะ สมกับเป็นนางฟ้าในชุดขาวจริงๆ”
“ฉันใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กค่ะว่าอยากช่วยเหลือคนเจ็บให้หาย แต่บางครั้งสิ่งที่เจอก็ไม่ตรงกับเจตนารมย์เท่าไหร่นักเพราะคนไข้บางคนฉันก็ช่วยยื้อชีวิตไม่ได้”
“คุณชลทำดีที่สุดแล้วจริงๆค่ะ” มนสิชาพูดเสียงแผ่ว ก่อนเหลือบตาไปเห็นหนังสือพิมพ์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะใกล้ประตู จึงปราดเข้าไปหยิบมาอ่าน
“ฉันซื้อมาอ่านระหว่างเฝ้าน้องเมน่ะค่ะ เห็นมีข่าวคุณข้าวด้วยนะ หน้าตาหล่อชวนฝันจริงๆ น่าเสียดายที่ดูเหมือนไม่เคยรักใครจริงๆเลย” ชลสายถอนหายใจ ขณะที่มนสิชารีบกวาดตาไปทั่วจนเห็นรูปเขมปัจน์เดินเคียงคู่สาวสวยคนหนึ่งเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง
“ท่าทางเจ้าชู้แบบนี้ เขาคงรักใครไม่เป็นหรอกค่ะ” หล่อนตอบแกมหมั่นไส้
“นั่นสิคะ ถ้าใครได้เป็นคนรักของคุณข้าว คงไม่ต่างจากเป็นซิลเดอเรลล่า” พยาบาลสาวทำท่าเคลิ้มฝัน ตาหวานเชื่อม
“ผู้ชายแบบนี้ไม่เห็นจะเหมือนเจ้าชายตรงไหนเลยค่ะ ขี้เก๊กก็เท่านั้น หยิ่ง ถือทิฐิ ปากจัด” มนสิชาใส่อารมณ์เต็มที่อย่างไม่พอใจ…แต่ก็นึกแปลกใจตัวเองอยู่ครามครันว่าทำไมต้องหงุดหงิดเพียงแค่เห็นข่าวเขาควงสาวอื่นด้วย