๑.๒ ปฐมบทแรกพบ
“เจ้าจ้อย” พระพายยื่นศพกระรอกน้อยในมือที่เขาเพิ่งตั้งชื่อให้มันขึ้นไปใส่หน้าคุณชายรพีจนเขาต้องผงะเอนศีรษะไปด้านหลัง “คุณขับรถทับมันจนร่างแหลกละเอียด ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ผิดอะไรสักนิด มันเล่นอยู่ดี ๆ อยู่ในที่ของมัน”
รพีอยากจะเถียงกลับว่าเขาก็จอดรถลงในที่ให้จอด ซึ่งมันไม่ใช่ที่ที่กระรอกจะวิ่งเล่นเช่นเดียวกับที่เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่สมควรไปอยู่ตรงนั้นเช่นกัน แต่เพราะเรื่องร้อนที่ชายหนุ่มหอบเอามาจากกระทรวงการต่างประเทศมิอาจรั้งรอได้ คุณชายรพีจึงไม่คิดจะต่อคำกับเด็กเอาแต่ใจให้เสียเวลา
ร่างสูงจึงทำเพียงส่งสายตาดุและฝืนตัวออกจากการเกาะกุม เขาสะบัดแขนเพียงนิดแต่เรี่ยวแรงกลับมีมากมายจนร่างเล็กกว่าซวนเซ เมื่อเป็นอิสระคุณชายรพีก็ ‘เดินหนี’ เข้าไปในงานทั้ง ๆ ที่แขนเสื้อเปรอะเปื้อนเช่นนั้น
“หน็อยแน่!...”
หม่อมหลวงพระพาย ระวิวรรณ ผู้ไม่เคยมีประวัติว่าพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดมาก่อนย่อมยอมไม่ได้ หนุ่มน้อยรีบวางร่างไร้วิญญาณของเจ้าจ้อยลงที่โคนต้นไม้ กระโดดคว้าเอาใบที่ห้อยลงมาพอให้คว้าได้ราวสักสี่ห้าใบแล้ววางคลุมลงไปบนร่างเจ้ากระรอกแสนอาภัพ
“หลับให้สบายนะเจ้าจ้อย”
หลังจากนั้นดวงตาหม่นแสงก็ลุกวาวอย่างเอาเรื่อง ก่อนที่เจ้าของร่างเล็กจะยืดตัวขึ้นมาแล้วก้าวตามบุรุษนิรนามแสนใจร้ายเข้าไปในงานเต้นรำ
“อ้าว! ชายพี ไหนว่าติดงานที่กระทรวงอย่างไรล่ะ แล้วนั่น แขนลูกไปโดนอะไรมา แล้วไยหน้าตาตื่นเช่นนั้นเล่า”
หม่อมเจ้าตะวันฉาย ตุลยาธร มีอันต้องชะงักบาทที่กำลังก้าวตามจังหวะดนตรี แล้วหันมาทอดเนตรบุตรชายคนโตที่เดินปรี่เข้ามาหาด้วยสภาพที่ไม่คุ้นตานัก หม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร ในยามปกติไม่มีทางที่จะเดินเข้ามาในงานสังคมชั้นสูงด้วยเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนและใบหน้าที่มีเหงื่อซึมเช่นนี้ คุณชายรพีผู้สง่างามแสนเจ้าระเบียบและหล่อเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บัดนี้มีสภาพไม่ต่างจากนาวิกโยธินที่เพิ่งผ่านสมรภูมิข้าศึกมามิมีผิดเพี้ยน
ความผิดปกติของโอรสทำให้หัวคิ้วของ ‘ท่านชายตุ้ม’ ย่นเข้าหากัน
“ท่านพ่อ”
อีกทั้งน้ำเสียงของหม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร ก็ฟังดูจริงจังราวกับกำลังเจรจาทางการทูตด้วยเรื่องสำคัญของชาติ
“กลับวังเถิดครับ เดี๋ยวนี้” ท้ายประโยคจบลงพร้อมกับฝ่ามือหนาที่ยื่นมาประคองผู้เป็นบิดา
“คุณชายรพี มีเรื่องอะไรหรือคะ?”
หม่อมปรางทิพย์ ภรรยาคนที่สามของหม่อมเจ้าตะวันฉาย และเป็นผู้ที่ท่านชายโปรดให้มาร่วมงานการกุศลในค่ำคืนนี้โพล่งถามอย่างตกใจ
“ตามมาเงียบ ๆ ครับหม่อม”
สุ้มเสียงของหม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธรในยามปกติก็น่าเกรงขามอยู่แล้ว ผนวกกับแววตาจริงจังในยามนี้ทำให้หม่อมปรางทิพย์ไม่กล้าเค้นเอาความ นางได้แต่เก็บงำความสงสัย แล้วก้าวตามไปเงียบ ๆ
“มันเกิดขึ้นจริง ๆ หรือชายพี”
“ครับ”
รพีตอบรับบิดาเสียงเบาแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นเน้นย้ำว่าข่าวลือที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนมันเป็นจริงแล้วในวันนี้ ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจความหมายว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่ บ้านเมืองอันแสนสงบสุข งานรื่นเริง เสียงดนตรี รอยยิ้ม ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้ใครบางคนตายใจ ก่อนที่คลื่นลูกใหญ่จะม้วนตัวตลบกวาดต้อน แล้วล้างบางพวกโกงบ้านกินเมือง
“ตอนนี้รถถังส่วนหนึ่งกำลังบุกเข้าไปที่ประตูทำเนียบท่าช้างวังหน้า และอีกส่วนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ครับ”
เมื่อฟังความจากบุตรชายแล้วหม่อมเจ้าตะวันฉายก็เหลียวกลับไปทอดเนตรภายในงาน กองกำลังทหารที่คุณชายรพีพูดถึงคงจะบุกเข้ามาในไม่ช้า และเป้าหมายก็คงหนีไม่พ้นนายกรัฐมนตรีที่กำลังหัวเราะร่วนอยู่กับ…
“เดี๋ยวก่อน!”
หม่อมเจ้าตะวันฉายชะงักกึก เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนคุยอยู่กับนายกรัฐมนตรีคือหม่อมราชวงศ์พศุตม์ ระวิวรรณ สหายของท่าน รวมทั้งสร้อยฟ้าผู้เป็นมากกว่าภรรยาของเพื่อน
“ผมไม่ยอมให้คุณเดินหนีไปง่าย ๆ หรอกนะ!”
ในขณะเดียวกัน หม่อมหลวงพระพายก็เข้ามาขวาง จ้องมองใบหน้าของคุณชายรพีด้วยดวงตาลุกวาวอย่างเอาเรื่อง
“พระพาย!”
“ท่านลุง!”
“กรี๊ดดดด!!!”
หม่อมเจ้าตะวันฉายและหม่อมหลวงพระพายอุทานได้เพียงเท่านั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมากลบ แล้วภายในห้องโถงก็เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที
“ทางนี้ครับ”
ท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของผู้คนในงานรื่นเริง หม่อมราชวงศ์รพีมีสติที่สุด เขารวบตัวทุกคนที่อยู่ใกล้หมอบลงต่ำเพื่อหลบวิถีกระสุนที่อาจจะพุ่งเข้าใส่หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมศิโรราบให้กองกำลังทหาร
‘รัฐประหาร’
กลุ่มทหารนอกราชการนำกำลังยึดอำนาจจากรัฐบาลเพื่อโค่นอำนาจของกลุ่มข้าราชการชั้นสูงที่มีหลักฐานว่ามีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในวงราชการ มีข่าวลือว่ามีการเตรียมการอยู่เงียบ ๆ แต่รพีไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในวันนี้ หลังเขาได้รับข่าวที่เชื่อถือได้จากสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร รพีก็รีบเดินทางมาที่นี่ทันทีเพื่อพาหม่อมเจ้าตะวันฉายเสด็จกลับวังตุลยาธร
แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว…
หม่อมหลวงพระพายผู้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รพีพาท่านพ่อออกจากงานไม่ทันหันไปมองตามต้นเสียง ดวงตาสีน้ำตาลที่จ้องจะเอาเรื่องรพีเมื่อครู่ฉายแววตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าบิดามารดาอยู่ในวงล้อมของทหารที่มีอาวุธครบมือ
“คุณพ่อ! คุณแม่!”