๑.๑ ปฐมบทแรกพบ
ประเทศไทย ปีพุทธศักราช ๒๔๙๐
ในค่ำคืนที่ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงคลาคล่ำไปด้วยหมู่ดาว สายลมแห่งเหมันตฤดูโชยอ่อน เสียงดนตรีแว่วหวานดังออกมาจากงานลีลาศการกุศล ณ สวนอัมพร ช่างชวนให้อภิรมย์และสะท้อนถึงสถานการณ์บ้านเมืองอันแสนสงบสุข ทว่าในอกข้างซ้ายของหม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร ในตอนนี้กำลังเต้นโครมครามและร้อนรนจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาตามไรผม เนื่องด้วยร่างสูงที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์กำลังร้อนใจ เขากดฝ่าเท้าจนคันเร่งจมลงไปพารถยนต์คันใหญ่จากวังตุลยาธรมุ่งหน้าสู่งานเต้นรำที่รวมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมดอยู่ในนั้น รวมถึงหม่อมเจ้าตะวันฉาย ตุลยาธร ผู้เป็นบิดาของเขาด้วย
ภายในงาน
“ไม่เห็นจะสนุกเลย”
หม่อมหลวงพระพาย ระวิวรรณ บ่นอุบ แล้วค่อย ๆ ย่องหลบสายตาบิดามารดาที่กำลังเพลิดเพลินกับการเคลื่อนไหวตามจังหวะดนตรีหนีออกมาสูดอากาศภายนอก หนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดปีปลดกระดุมสูทตัวนอกแล้วถอดมันออกอย่างรู้สึกอึดอัด วางพาดมันไว้กับราวระเบียงก่อนจะเดินทอดน่องเข้าไปในสวนที่ประดับไฟไว้อย่างสวยงาม เพียงแต่พระพายรู้สึกว่าอย่างไรเสียมันก็งดงามไม่เท่าดวงดาวนับล้านที่แข่งกันพราวแสงระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้า ยามแหงนหน้าขึ้นมองก็พาให้รู้สึกอภิรมย์และยามหลับตารับสายลมแห่งต้นฤดูหนาวก็ชวนให้ชื่นใจยิ่งนัก ดีกว่าอุดอู้อยู่ในงานลีลาศตั้งมากโข
และครั้นเมื่อเปลือกตาสีเปลือกไข่ลืมขึ้นมาก็ยังพบสัตว์ตัวเล็กน่ารักวิ่งไต่อยู่บนกิ่งไม้ ช่วยเรียกรอยยิ้มจากริมฝีปากอิ่มสีเชอร์รีให้คลี่ออกกว้าง ดวงตาสีน้ำตาลสุกสกาวสดใสทอแสงระยิบระยับไม่ต่างกับหมู่ดาวเหนือฟากฟ้า
“เจ้ากระรอกน้อย”
เพียงพระพายยื่นมือออกไป เจ้ากระรอกตัวจ้อยก็ไต่ลงมาตามลำต้น แล้วกระโดดลงมาบนมือขาวอย่างแสนเชื่อง
“ไง เล่นอยู่ตัวเดียวเหงาไหม คงเหงาละซี ฉันก็เหงาเหมือนกัน อย่างนั้นเรามาเล่นด้วยกันนะ”
เจ้ากระรอกตัวจ้อยผงกหัวหงึกหงัก ช่างแสนน่ารักในสายตาของหม่อมหลวงตัวน้อย ดวงตาสุกใสกวาดมองไปโดยรอบอย่างพิจารณาว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กในมือจะมีเจ้าของหรือไม่ ใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาทีตรึกตรองก่อนจะได้ข้อสรุปแบบเข้าข้างตัวเองว่าหากมีเจ้าของมันคงไม่มาวิ่งเล่นอยู่บนต้นไม้เช่นนี้
“ไปอยู่ที่วังระวิวรรณด้วยกันนะ” ริมฝีปากเล็กเอ่ยกระซิบเสียงเบาราวกับกลัวว่าเจ้าของของมันจะมาได้ยิน และเมื่อเจ้ากระรอกไม่ปฏิเสธ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เข้าใจภาษา เพียงแค่คงรู้สึกถึงความเป็นมิตรจากสิ่งมีชีวิตสองขาก็เท่านั้น พระพายก็ยิ้มพรายแล้วเตรียมจะพามันไปซุกซ่อนในกระเป๋าเสื้อสูทที่วางทิ้งไว้เพื่อพากลับไปเลี้ยงที่วัง
“โอ๊ะ จะไปไหนเล่า”
แต่เจ้ากระรอกแสนซนกระโดดลงจากมือ แล้ววิ่งดุ๊กดิ๊กหนีไปทางหนึ่ง พระพายรีบก้าวตามไปอย่างนึกสนุก การวิ่งไล่จับกระรอกในสวนก็ถือว่าดีกว่าเต้นลีลาศกับพวกผู้ใหญ่สูงศักดิ์ที่คุยกันแต่เรื่องการบ้านการเมือง
แต่แล้วรอยยิ้มบาง ๆ ตรงมุมปากของราชนิกุลหนุ่มก็มีอันต้องหุบฉับพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างเมื่อภาพตรงหน้าปรากฏเป็นรถยนต์คันใหญ่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงราวกับเบรกแตก แต่ในความเป็นจริงเบรกของมันยังใช้การได้ดีเพราะมันสามารถต้านล้อรถยนต์ให้หยุดลงบนร่างของเจ้ากระรอกน้อยของเขาพอดิบพอดี
เอี๊ยดดด!!!
แผะ!!!
ร่างเล็กแบนแต๊ดแต๋อยู่ใต้ยางรถยนต์สีดำคล่ำฝุ่นและเหมือนจะมีไอร้อนพุ่งออกมาจากการที่มันบดเบียดทั้งพื้นถนน ก้อนหิน และดินโคลนมาอย่างโชกโชน
“ไม่นะ!”
พระพายอุทานลั่น ร่างบางถลาไปยอบตัวลงนั่งข้างล้อรถ สองมือน้อยกอบโกยร่างไร้วิญญาณของสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ความร้อนใจของหม่อมราชวงศ์รพี ตุลยาธร ทำให้เขาละเลยที่จะใส่ใจหนุ่มน้อยหน้าเศร้าที่แหงนใบหน้าคลอน้ำตาขึ้นมามองยามที่เขาเปิดประตูรถยนต์ลงไป คุณชายรพีแห่งวังตุลยาธรเพียงปรายตามองแล้วรีบสาวเท้าเดินจากมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทว่าเขามีอันต้องหยุดชะงักเมื่อเจ้าของร่างเล็กผุดลุกขึ้นมา แล้ววิ่งมาขวางหน้า
“ชนแล้วหนีงั้นรึ?”
รพีมั่นใจว่าเขาไม่ได้ขับรถชนคนที่เชิดหน้าขึ้นมาต่อว่ากัน เพราะเด็กคนนี้วิ่งเข้ามาตอนที่เขาจอดรถลงแล้ว
“หลบไป ฉันรีบ”
รพีจึงเบี่ยงตัวหลบ แล้วก้าวยาว ๆ เบียดไหล่บางมุ่งหน้าสู่งานเลี้ยง แต่เพียงก้าวเท้าได้สองก้าวก็มีอันต้องชะงักอีกครั้งเพราะแรงกระชากจากฝ่ามือเล็กด้านหลังที่รวบเอาท่อนแขนของเขาแล้วออกแรงรั้งจนสุดตัว
“คุณไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าจะขอโทษเจ้าจ้อยก่อน”
“เจ้าจ้อย?” รพีเอี้ยวใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วแห่งความกังวลกลับมาเป็นเชิงถามว่านั่นเป็นนามของหนุ่มน้อยตัวจ้อยสมชื่อคนนี้หรือ แต่ดวงตาคมขลับกลับต้องไหววาบเมื่อสังเกตเห็นว่าแขนเสื้อของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดซึ่งมันมาจากฝ่ามือบางที่จับมั่นเอาไว้ คุณชายแห่งวังตุลยาธรเลื่อนสายตาปราดไปที่มืออีกข้างของคนที่ตั้งท่าจะเอาเรื่องกันก็เห็นว่าในมือน้อยนั้นมีซากอะไรบางอย่างที่เคลือบไปด้วยหยาดเลือดเช่นกัน