บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ไอ้ผู้ชายบ้าคิดจะขับไล่นาง

ทุกคนมองนางอึ้ง ๆ ในหัวมีแต่คำพูดเหล่านั้นดังสะท้อนไปมา มีไก่แก่ให้ทุกวัน ต้องทำแผลทุกวัน และหากนางทำงานไม่ได้ละก็

นั่นหมายความว่านอกจากพวกเขาต้องคอยปรนนิบัติคนพิการอย่างหลัวชิงอวี่แล้ว ยังต้องปรนนิบัตินังตัวซวยที่ขึ้นชื่อลือนามผู้นี้อีกงั้นหรือ?

หลัวชิงอวี่ที่นอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียงก็เหลือบมองมาอย่างประหลาดใจ หลังจากมองนางด้วยแววตาลึกซึ้งอยู่นานถึงละสายตาเบือนหน้าไป และชักสีหน้าหม่นหมองคลุมเครือ

ผู้ว่าหมู่บ้านเป็นคนแรกที่ได้สติก่อน เขาเหลือบมองมู่จิ่วเยว่อยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเฒ่าแก่หลัวและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เจ้าห้า ครั้งนี้พวกเจ้าจัดการไม่ถี่ถ้วน ข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจและจัดแจงทุกอย่างให้ชัดเจนเอง”

ไม่ว่าอย่างไรที่หลัวชิงอวี่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพื่อตระกูลนี้ การที่คนตระกูลหลัวรีบร้อนขับไล่ออกจากเรือนเช่นนี้ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ไม่เป็นธรรม

แต่ในเมื่อหลัวชิงอวี่ตอบตกลง ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ว่าหมู่บ้านก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเรื่องครอบครัวของลูกบ้านจนเกินไป

เฉินซื่อยังอยากจะพูดอะไรแต่ถูกหญิงกลางคนอีกคนดึงไว้เสียก่อน เพราะถ้าหากโต้แย้งต่อไป เกรงว่าพวกเขาจะหน้าด้านอยู่ที่นี่ไม่ยอมไป ถึงเมื่อนั้นผู้ที่ต้องทนทุกข์ก็คือพวกเขา

เฒ่าแก่หลัวสองผัวเมียสีหน้าเคร่งเครียด เพราะต่างคาดไม่ถึงว่าจะถูกสะใภ้ที่เพิ่งจะแต่งเข้าเรือนวันนี้บีบบังคับจนจนมุมเช่นนี้

แถมผู้ว่าหมู่บ้านก็อยู่ที่นี่ พวกเขาจึงทำอะไรไม่ได้

แต่ไม่เป็นไร แค่นังตัวซวยคนเดียว เอาไว้โอกาสหน้าค่อยสั่งสอนบทเรียนให้นางก็ได้

ชีวิตในตระกูลของเฒ่าแก่หลัวไม่ได้อยู่สบาย มีบุตรชายหลายคน หากต้องแยกให้ชัดเจน คงจะมีไม่มาก

หลัวชิงอวี่สองขาพิการไม่สามารถทำนาได้ เฒ่าแก่หลัวฝืนใจคิดราคาแปลงที่นาในส่วนที่เป็นของเขาให้ในราคาต่ำ มอบให้เขาทั้งหมดเป็นเงินหกตำลึงเงิน ข้าวกับแป้งหยาบอย่างละสิบกิโล พร้อมกับหม้อ กระทะ ถ้วยชาม กะละมังเก่าๆ

เรือนเก่าทรุดโทรมที่เชิงเขาถูกแบ่งให้หลัวชิงอวี่ และขอให้พวกเขาย้ายออกไปภายในวันนี้

หลัวชิงอวี่ไม่ได้พูดตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเอนตัวนั่งพิงอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ผู้ว่าหมู่บ้านร่างหนังสือแยกเรือนขึ้นมาหลังจากทั้งสองฝ่ายหารือกันเรียบร้อยแล้ว เฒ่าแก่หลัวประทับลายนิ้วมือ เหลือเพียงแค่หลัวชิงอวี่ประทับลายนิ้วมือลงไป ก็นับเป็นอันว่าแยกเรือนกันอย่างทางการแล้ว

“ช้าก่อน ในเมื่อจัดสรรเรือนเก่าให้เราแล้ว โฉนดที่ดินเล่า?” มู่จิ่วเยว่เอ่ยถามขึ้นกะทันหัน

เฒ่าแก่หลัวตวัดสายตามองนางอย่างเย็นชา “ตอนนี้ยังหาโฉนดที่ดินไม่เจอ ไว้อีกสองวันจะนำไปให้พวกเจ้า”

มู่จิ่วเยว่เชื่อก็บ้าแล้ว อีกสองวันจะให้? คงจะฮุบเอาไว้เองเสียมากกว่ากระมัง?

และแล้ว ยังไม่ทันที่นางจะพูดอะไรต่อ ด้านหลัวชิงอวี่ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง

“เอามา ข้าจะประทับ!”

มู่จิ่วเยว่หันขวับไปมองหลัวชิงอวี่อย่างไว ชายคนนั้นก็จ้องนางอย่างสงสัยเช่นกัน ในแววตาคู่นั้นมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่คลุมเครือ

“หลัวชิงอวี่ เจ้าจะบ้าหรือ? ข้าทำเพราะหวังดีกับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รักดี!”

ความคลุมเครือในแววตาของหลัวชิงอวี่กลายเป็นมืดมน พลางพูดด้วยน้ำเสียงสุดเย็นชาขึ้นว่า "เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าไม่ต้องการภรรยา เจ้าจะไปไหนก็ไป!"

“เจ้า...” มู่จิ่วเยว่โมโหไอ้ชายยุคโบราณคนนี้จนแทบไฟลุก หากตามนิสัยเดิมของนาง คงจะพุ่งเข้าไปซัดหน้าเขาแล้วแน่ๆ

แต่นั่นเป็นคนไข้ที่ขากำลังจะพิการ คนไข้มักจะมีด้านมืดอยู่ในใจเสมอ คุณปู่เคยสอนนางเสมอว่าต้องปฏิบัติกับคนไข้อย่างใจเย็นที่สุด

หล่อนกัดฟันแน่นก่อนจะหันตัวกลับ จ้องมองผู้คนที่อยู่ภายในเรือนด้วยสายตาเดือดดาล ทุกคนก็มองนางด้วยสายตาเยาะเย้ย

โดยเฉพาะเฉินซื่อ ความเคียดแค้นที่ถูกหักนิ้วมือเมื่อครู่นี้ทำให้หล่อนกลั้นไม่ไหวและหัวเราะออกมาดังๆ

“คิดเหรอว่าแต่งเข้าเรือนแล้วจะพลิกตัวขึ้นมาเป็นนายได้? ไม่มองตัวเองซะบ้างว่าตัวเองเป็นใคร ปีกกล้าขาแข็งนักจะจับเจ้าขายต่ออีกทอด”

ความเกรี้ยวโกรธเย่อหยิ่งของมู่จิ่วเยว่มลายหายไปทันที ใช่แล้ว ตอนนี้นางไม่ใช่หัวโจกหมู่บ้านคนนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นนังตัวซวยที่ถูกขายทอดมาหลายต่อหลายครั้ง

นางจะถูกจับขายอีกไม่ได้เด็ดขาด วันเวลาที่ต้องอยู่อย่างหิวโหยในเรือนของพวกพ่อค้ามนุษย์มันฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม

ไอ้ผู้ชายบ้า อยากจะไล่นางไปเหรอ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!

หลังจากคิดได้เช่นนั้น นางก็มองหลัวชิงอวี่อีกครั้งด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ "สามีพูดอะไรแบบนั้นเล่า ตอนนี้ข้าเป็นภรรยาของเจ้า ต่อไปก็จะเป็นภรรยาของเจ้าผู้เดียว จะทิ้งไปได้อย่างไรเล่า?"

“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดี ถ้าเช่นนั้นข้าไม่อยู่ขัดหูขัดตาเจ้าที่นี่แล้ว ข้าไปเก็บข้าวของและต้มโจ๊กไว้ให้เจ้าก่อน แล้วเจ้าค่อยตามมาทีหลังแล้วกัน”

ไอ้ชายชาติหมาเอ้ย ไว้ฉันจะค่อยๆ คิดบัญชีกับนายทีหลัง!

มู่จิ่วเยว่เกือบจะกัดฟันตัวเองจนเขี้ยวหักอยู่แล้ว หลังจากพูดจบนางก็ยกกระสอบข้าวสองถุงขึ้น ถลึงตาใส่คนในเรือนอีกครั้งก่อนจะหันตัวเดินออกไปข้างนอก

ก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมวิ่งชนกำแพง แถมก่อนที่จะถูกขายมาที่นี่ก็ได้แต่ดื่มน้ำข้าวต้มวันละถ้วยเพื่อคลายความหิวทุกวัน ตอนนี้นางทั้งเวียนหัวทั้งหิวโหย

ดังคำที่ว่าคนคือเหล็ก ข้าวคือเหล็กกล้า ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องกินให้อิ่มท้องก่อนจึงจะมีแรงไปทำอย่างอื่น

โชคดีที่ชาติก่อนนางมีพลังมหาศาล การข้ามเวลามาครั้งนี้ดูเหมือนว่าพลังและความแข็งแกร่งของนางจะติดตัวมาด้วย

ไม่เพียงแต่ข้ามเวลามาเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้นมากเลยด้วย ไม่อย่างนั้น ด้วยสภาพร่างกายของนางในตอนนี้อาจไม่สามารถยกกระสอบข้าวหนักเป็นสิบกิโลแบบนี้ได้หรอก

ทุกคนมองนางอึ้งๆ ท่าทีของนางปรับเปลี่ยนเร็วเกินไปหรือเปล่า?

เมื่อครู่ยังดุร้ายเหมือนจะอยากจะกัดใครสักคน จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นแกะน้อยแสนเชื่อง ไม่ว่ายังไงมันก็ดูแปลกๆ?

กระทั่งนางเดินแบกกระสอบข้าวออกไปแล้ว เฉินซื่อถึงนึกขึ้นได้และรีบวิ่งออกไปยื้อแย่งข้าวกับนาง “นังสารเลว นังตัวซวย คิดอยากจะหอบกระสอบข้าวแล้วหนีไปเหรอ? "

มู่จิ่วเยว่ป้องกระสอบข้าวไม่ยอมให้นางแย่งไป พลางยิ้มเยาะเย้ย "ในหัวของเจ้ามีแต่แป้งกาวหรือไง?"

หากนางจะหนีจริงๆ ก็ต้องหนีตอนกลางคืนสิ ใครที่ไหนจะแบกกระสอบข้าวสองใบหนีไปกลางวันแสกๆ ต่อหน้าทุกคนแบบนี้

จู่ๆ นางก็ขยับเข้าไปใกล้เฉินซื่อ และกระซิบขู่เสียงเบาว่า “ทางที่ดีอย่ามายุ่งกับข้าดีกว่า ไม่อย่างนั้น…”

นางเหลือบมองนิ้วของเฉินซื่อด้วยแววตาแฝงความหมาย ทำเอาเฉินซื่อตกใจกลัวจนต้องถอยห่างโดยสัญชาตญาณ

ความเจ็บปวดที่ถูกหักนิ้วเมื่อครู่นี้ยังฝังลึกอยู่ในใจจนถึงตอนนี้

มองมู่จิ่วเยว่เดินแบกกระสอบข้าวออกไปอย่างสบายใจแบบนั้น นางอยากไล่ตามไป แต่ในใจก็แอบกลัว ไม่กล้า

แป้งกาว? มันคืออะไร? ในหัวของนางมีสิ่งนั้นอยู่จริงๆ หรือ?

ด้านนอกมีคนกว่าครึ่งหมู่บ้านรวมตัวกันเพื่อมุงดูเรื่องชาวบ้าน พวกเขาต่างตกตะลึงเมื่อเห็นคนผอมโซอย่างมู่จิ่วเยว่หอบถุงกระสอบข้าวด้วยมือเพียงข้างเดียว

“นี่เป็นเมียใหม่ของหลัวชิงอวี่เหรอ? หน้าตาใช้ได้เลยนี่นา” ชายหนุ่มพูดอย่างหยาบคาย

“เจ้าอย่าเลยดีกว่า นั่นเป็นนังตัวซวยที่ใครเข้าใกล้คนนั้นตาย เจ้าอยากยุ่งกับนางหรือ”

“น่าสงสารชิงอวี่ ดันมาถูกพ่อแม่ยัดเยียดนังตัวซวยให้แบบนี้”

“พวกเจ้าลองเดาสิ ชิงอวี่จะมีชีวิตรอดถึงพรุ่งนี้หรือไม่?”

“ได้ยินมาว่าไม่มีใครที่แต่งงานกับนางแล้วมีชีวิตรอดถึงวันรุ่งขึ้นเลยสักคน แถมชิงอวี่ก็บาดเจ็บสาหัสเช่นนั้น พูดยาก”

มู่จิ่วเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็ชักสีหน้าเข้ม ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเฒ่าแก่หลัวจึงไม่ยอมให้โฉนดที่ดิน

คงจะกำลังคิดว่าหลัวชิงอวี่อยู่ได้ไม่ถึงพรุ่งนี้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นโฉนดที่ดินก็ไม่ต้องให้แล้วอย่างนั้นหรือ?

ช่างเป็นพ่อแม่ที่ประเสริฐแท้ คิดวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างดี

นางหรี่ตาลงแล้วเดินออกไป แต่ในใจกลับแอบคิดว่าหรือว่าร่างกายของนางจะเป็นดวงกินผัวจริงๆ?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel