บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ถูกจับแยกเรือนตั้งแต่แรกเริ่ม

“นังตัวซวย ชื่อเสียงอย่างเจ้าได้แต่งงานกับชิงอวี่ของเรานับเป็นบุญของเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้จักหวงแหน ยังจะกล้าวิ่งชนกำแพงอีก?”

น้ำเสียงแหลมปรี๊ดกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง "มันยังไม่ตายสนิท ท่านแม่รีบไล่พวกเขาออกไปเร็ว เก็บไว้มีแต่จะพาโชคร้ายมาให้พวกเรา"

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงแหลมปรี๊ดของหล่อน หรือเพราะเหตุใดทำให้หญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น และหน้าผากเต็มไปด้วยเลือด ตัวกระตุกสั่นแล้วลุกพรวดขึ้นนั่งกะทันหัน

“ฉันยังไม่ตาย?” มู่จิ่วเยว่พูดด้วยท่าทีหวาดกลัว น้ำเสียงของนางแผ่วเบาและแหบแห้งไปหมด

เครื่องบินตกลงมาจากความสูงหลายพันเมตร คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวได้แผดเผาป่าบนภูเขาเป็นบริเวณกว้าง

ตอนนั้นนางกำลังเก็บสมุนไพรในป่าบนเขา และเห็นทุกอย่างด้วยตาของตัวเอง ยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกคลื่นกระแทกซัดใส่อย่างจังจนหมดสติไป

นางคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ คิดไม่ถึงว่านางจะยังฟื้นขึ้นมาได้อีก

“นังตัวซวย ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องยังไม่ตาย คิดจะแกล้งตายเพื่อหนีเอาตัวรอดเรอะ ตัดใจซะเถอะ”

เมื่อเห็นนางลุกขึ้นนั่งเอง เฉินซื่อก็เอาแต่ชี้หน้าด่านางไม่หยุดปาก

“ไม่รู้จักย้อนมองชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองเสียบ้าง ชิงอวี่ของเราหล่อเหลาและมีความสามารถ ถ้าหากตอนนี้ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นละก็ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าจะได้แต่งงานกับเขาหรือ?”

มู่จิ่วเยว่ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวโจกหมู่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีใครกล้าชี้นิ้วด่าเจ้าหล่อนแบบนี้

ดังนั้น นางจึงไม่แม้แต่จะคิด รีบยื่นมือออกไปคว้าหมับเข้าที่นิ้วที่กำลังชี้หน้านางอยู่ ก่อนจะออกแรงบิดทันที

"แกรก!"

"โอ๊ย!"

เสียงกรีดร้องอันน่าสลดใจดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดูกหัก เสียงดังลั่นทะลุเรือนหลังคามุงหญ้า ดังโหยโหนไปไกล

ทุกคนในเรือนมองไปที่มู่จิ่วเยว่อย่างตกตะลึง จนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

ไหนว่านังผู้หญิงผู้นี้ดวงกินผัว แต่เป็นพวกอ่อนแอขี้ขลาดไม่ใช่หรือ?

ไม่เช่นนั้น นางคงไม่วิ่งเอาหัวชนกำแพงหวังฆ่าตัวตายหลังจากเพิ่งจะมาถึงเรือนของพวกเขา และได้เห็นสภาพนี้เข้าเช่นนี้หรอก

แต่ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้กลับต่างไปจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง

มู่จิ่วเยว่ขมวดคิ้วแน่น คนที่ถูกหล่อนหักนิ้วมือเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีผมหงอกขาวโพลนตามขมับทั้งสองข้าง ใบหน้าบูดเบี้ยวและมองหน้าหล่อนด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมูกน้ำตา

ภายในเรือนมีคนอยู่จำนวนไม่น้อย ทุกคนกำลังมองเจ้าหล่อนด้วยความงุนงง เมื่อพวกผู้ชายเหล่านั้นสบสายตากับนาง พวกเขาต่างก็รีบก้มหน้าหลบสายตาทันที

มู่จิ่วเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่นางอยู่ที่ไหน? ทำไมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ?

ขณะที่หล่อนกำลังครุ่นคิด จู่ๆ หล่อนก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจนต้องรีบยกมือขึ้นกุมขมับแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“นังสารเลว คิดจะแกล้งตายอีกงั้นหรือ ท่านแม่รีบไล่พวกเขาออกไปเร็ว นางผู้นี้เป็นตัวซวยจริงๆ”

เฉิงซื่อน้ำเสียงแหลมคม สายตาของนางจ้องมองมู่จิ่วเยว่ด้วยความคับแค้นใจ

นังตัวซวยผู้นี้ไม่เพียงแต่หักนิ้วของนาง แต่ยังดึงดูดสายตาของผู้ชายทั้งเรือน ถ้าหากเก็บนางเอาไว้ที่เรือนต้องเป็นตัวหายนะแน่

มู่จิ่วเยว่วางมือลงอย่างมึนงง กวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะไปหยุดที่เตียงที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มรูปงามแต่ใบหน้าซีดขาวที่กำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชา

ชายคนนั้นคือสามีคนปัจจุบันของนาง เมื่อห้าวันก่อนเขาขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขาแต่เกิดเหตุให้ขาหักทั้งสองข้าง หมอบอกว่าไม่มีโอกาสรักษาให้หายได้อีกแล้ว

เมื่อสองวันก่อน คู่หมั้นของเขามาขอถอนหมั้นถึงเรือน โดยไม่แม้แต่จะแลมองเขาสักนิด

วันนี้พี่น้องของเขายุยงท่านพ่อท่านแม่ให้จับเขาแยกเรือนออกไป เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป พวกเขาทุ่มเงินกว่าแปดร้อยอีแปะ ซื้อตัวผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวซวยผู้นี้ให้มาเป็นเมียของเขา

เมื่อเจ้าของร่างเดิมมาเห็นสถานการณ์ที่ตกอยู่ในสภาพนี้ นางจึงวิ่งเอาหัวชนกำแพงก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาเป็นหล่อนในตอนนี้

ท่านหญิงเฒ่าหลิ่วมองชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงด้วยสีหน้าละอาย “ชิงอวี่ เจ้าอย่าหาว่าแม่ใจร้ายเลยนะ เจ้าอายุปูนนี้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องแต่งงานออกเรือนแล้ว”

“แม่ตัดสินใจแต่งภรรยาให้เจ้า นับว่าไม่ได้ใจร้ายกับเจ้านัก วันนี้พวกเจ้าย้ายไปอยู่เรือนเก่าที่ตีนเขาโน่นเถิดนะ”

ท่านหญิงเฒ่าหลิ่วพูดจบ ก็หันไปมองผู้ว่าหมู่บ้านอย่างระแวดระวัง “พี่รอง แบบนี้พี่คิดเห็นเช่นไร?”

ผู้ว่าหมู่บ้านเป็นชายชราวัยหกสิบกว่า ๆ และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านพ่อของหลัวชิงอวี่

เขาเอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ชิงอวี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

หลัวชิงอวี่เม้มริมฝีปากซีดเผือดของตัวเองแน่น ผ่านไปพักใหญ่แล้วจึงเอ่ยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา "แยกเรือน!"

แม้ว่าปากจะพูดเพียงคำเดียว แต่มู่จิ่วเยว่กลับได้ยินความสิ้นหวังและความเยือกเย็นในคำพูดของเขา

เฉินซื่อมองมู่จิ่วเยว่ราวกับถูกยาพิษ “นางหักนิ้วของข้า นางต้องชดใช้”

มู่จิ่วเยว่ได้ยินเช่นนั้น ก็ชักสีหน้าเย็นชา ก่อนจะก้าวเข้าไปสองก้าว แล้วเอื้อมมือเข้าไปหาหล่อน

เฉินซื่อตกใจมากจนอยากจะถอยกรูดไปอยู่ด้านหลังพวกผู้ชาย แต่กลับถูกมู่จิ่วเยว่คว้าหมับเข้าที่นิ้วมืออย่างง่ายดาย

"แกรก!"

“โอ๊ย!” เฉินซื่อเจ็บมากจนต้องกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือดอีกครั้ง

“นิ้วของเจ้าหายแล้ว ไม่จำเป็นต้องชดใช้ สิ่งใดที่ควรเป็นของพวกเราอย่าให้ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว”

เสียงแหบแห้งของมู่จิ่วเยว่ดังขึ้น เมื่อครู่แค่บิดนิ้วมือของหล่อนหลุดข้อเท่านั้น นางสามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดาย โดยไม่หลงเหลือร่องรอยให้เห็น

ในเมื่อนางมาที่นี่แล้ว ในเวลาสั้นๆ นี้นางเองก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ไม่สู้อยู่ที่นี่ก่อน หลังจากสืบความสถานการณ์ตอนนี้ได้แล้วค่อยคิดหาทางออกต่อไป

“เจ้า เจ้าโกหก ——เอ๊ะ ไม่เจ็บแล้วจริงๆ ด้วย?” เฉินซื่ออยากจะเถียงกลับ แต่กลับพบว่านิ้วมือของตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แถมยังไม่เจ็บเลยด้วย

มันน่าแปลกเกินไปแล้ว? เมื่อครู่ยังเจ็บขนาดนั้นแท้ๆ จนถึงตอนนี้นางยังจำความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นได้ มันเป็นไปได้ยังไง?

“บังอาจ! บังอาจนัก!” ใบหน้าเหี่ยวย่นของท่านหญิงเฒ่าหลิ่วบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ พลางจ้องมู่จิ่วเยว่ตาถลน “ในสายตาเจ้ายังมีผู้อาวุโสอย่างพวกข้าอยู่หรือไม่?”

“ผู้อาวุโส? ผู้อาวุโสที่เตะบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองที่เพิ่งจะได้รับบาดเจ็บออกจากเรือน โดยไม่สนใจใยดีน่ะหรือ?”

น้ำเสียงของมู่จิ่วเยว่ยังคงแหบห้าว นางเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส? ที่รู้ทั้งรู้ว่าข้าได้รับขนานนามว่าเป็นหญิงกินผัว แต่ก็ยังยัดเยียดข้าให้มาเป็นภรรยาบุตรชายของตนเอง ความคิดของพวกเจ้าก็ป่าวประกาศต่อโลกภายนอกอย่างประจักษ์แจ้งอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“บังอาจ!” เฒ่าแก่หลัวตะโกนร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “เพิ่งจะเข้าเรือนก็เถียงคำไม่ตกฟาก คนอย่างเจ้ามีสิทธิ์ออกปากออกเสียงที่นี่หรือ”

“เพราะข้าพูดจาแทงใจดำถึงได้เกรี้ยวโกรธเช่นนี้หรือ?” มู่จิ่วเยว่ยิ้มเยาะ “ในเมื่อข้าแต่งเข้าเรือนมาเป็นภรรยาของชิงอวี่ ตอนนี้เรื่องแยกเรือนเป็นเรื่องของพวกเรา เหตุใดข้าจะมีสิทธิ์พูด”

“จะแยกเรือนก็ต้องแยกให้มันชัดเจน ไม่เช่นนั้นข้ากับสามีจะอยู่ได้อย่างไร”

“สามีได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็เพื่อเครือตระกูลนี้ใช่หรือไม่? เวลานี้เขาบาดเจ็บสาหัส นอนติดเตียงขยับตัวไม่ได้ และข้าต้องเคี่ยวซุปไก่แก่ให้เขาอย่างน้อยวันละตัวเพื่อบำรุงร่างกายถูกไหม?”

“แผลที่ขาของเขาต้องทำแผลทุกวันใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นแผลจะอักเสบได้ง่ายจนทำให้ปากแผลใหญ่และเนื้อเน่าได้”

“ยาก็ต้องกินทุกวันมิให้ขาดใช่ไหม ก่อนหน้านี้หมอบอกว่าค่ายาคู่หนึ่งราคาเท่าใดนะ?”

“สามีขยับไม่ได้ ข้าต้องดูแลสามี งานนอกงานในเรือนก็ช่วยทำไม่ได้ ทุกคนควรจะดูแลช่วยเหลือมากๆ ถึงจะถูก”

มู่จิ่วเยว่พูดเร็วมาก ราวกับเทถั่วใส่กระบอกไม้ไผ่ ไม่เปิดโอกาสให้ใครโต้ตอบเลย

“ผู้ว่าหมู่บ้าน ท่านต้องช่วยพวกเรานะ ข้าเพิ่งจะแต่งเข้าเรือนท่านไม่ยอมรับข้าไม่เป็นไร แต่ท่านเห็นสามีของข้าเติบโตมาแต่เล็กแต่น้อย ท่านจะเพิกเฉยไม่สนใจไม่ได้นะเจ้าคะ"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel