ย้อนเวลามาเป็นเมียนักล่าสัตว์ผู้ฮึกเหิม

265.0K · ยังไม่จบ
-
118
บท
245.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

มู่จิ่วเยว่ผู้สืบทอดแพทย์แผนจีนโบราณ ข้ามภพมาเป็นหญิงแต่งงานใหม่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ซ้ำยังดวงกินผัว เป็นเหตุให้สามีตายไป 3 คน สามีคนล่าสุดเป็นนักล่าสัตว์ นิสัยหัวรั้นชอบเก็บคัว ขาหักทั้งสองข้าง ถูกถอนหมั้น แถมยังถูกพ่อแม่พี่น้องตะเพิดออกจากบ้าน ต้องเผชิญหน้ากับชายที่มีสีหน้าหม่นหมองตลอดทั้งวัน บ้านที่พังไม่เหลือสภาพ จ๊นจน มู่จิ่วเยว่ฮึบสู้ขึ้นมาอย่างเงียบๆ เอาว่ะ เอาไงเอากัน เปิดโลกมิติ ขึ้นเขาเก็บสมุนไพร ลงแม่น้ำจับปลา รักษาโรค ค้าขาย ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้ ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ สามีหน้าหมองก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตยิ่งรุ่งยิ่งปัง ญาติมิตรร้ายกาจมาเรียกเอาทรัพย์สินอย่างหน้าด้านๆ หญิงที่ถอนหมั้นไปแล้วมาบังคับให้นางเป็นเมียน้อย มู่จิ่วเยว่อยากใช้โอกาสนี้หนีไป แต่กลับถูกผู้ชายต้อนจนมุม "เมียจ๋า เจ้าเคยพูดว่า ยามทุกข์หรือสุข ก็จะอยู่ไปด้วยกัน" มู่จิ่วเยว่งงทำอะไรไม่ถูก นางเคยพูดแบบนี้ด้วย?จริงหรอ?

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายย้อนยุคข้ามมิติ

บทที่ 1 ถูกจับแยกเรือนตั้งแต่แรกเริ่ม

“นังตัวซวย ชื่อเสียงอย่างเจ้าได้แต่งงานกับชิงอวี่ของเรานับเป็นบุญของเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้จักหวงแหน ยังจะกล้าวิ่งชนกำแพงอีก?”

น้ำเสียงแหลมปรี๊ดกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง "มันยังไม่ตายสนิท ท่านแม่รีบไล่พวกเขาออกไปเร็ว เก็บไว้มีแต่จะพาโชคร้ายมาให้พวกเรา"

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงแหลมปรี๊ดของหล่อน หรือเพราะเหตุใดทำให้หญิงสาวที่นอนอยู่บนพื้น และหน้าผากเต็มไปด้วยเลือด ตัวกระตุกสั่นแล้วลุกพรวดขึ้นนั่งกะทันหัน

“ฉันยังไม่ตาย?” มู่จิ่วเยว่พูดด้วยท่าทีหวาดกลัว น้ำเสียงของนางแผ่วเบาและแหบแห้งไปหมด

เครื่องบินตกลงมาจากความสูงหลายพันเมตร คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวได้แผดเผาป่าบนภูเขาเป็นบริเวณกว้าง

ตอนนั้นนางกำลังเก็บสมุนไพรในป่าบนเขา และเห็นทุกอย่างด้วยตาของตัวเอง ยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกคลื่นกระแทกซัดใส่อย่างจังจนหมดสติไป

นางคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ คิดไม่ถึงว่านางจะยังฟื้นขึ้นมาได้อีก

“นังตัวซวย ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องยังไม่ตาย คิดจะแกล้งตายเพื่อหนีเอาตัวรอดเรอะ ตัดใจซะเถอะ”

เมื่อเห็นนางลุกขึ้นนั่งเอง เฉินซื่อก็เอาแต่ชี้หน้าด่านางไม่หยุดปาก

“ไม่รู้จักย้อนมองชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองเสียบ้าง ชิงอวี่ของเราหล่อเหลาและมีความสามารถ ถ้าหากตอนนี้ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นละก็ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าจะได้แต่งงานกับเขาหรือ?”

มู่จิ่วเยว่ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวโจกหมู่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีใครกล้าชี้นิ้วด่าเจ้าหล่อนแบบนี้

ดังนั้น นางจึงไม่แม้แต่จะคิด รีบยื่นมือออกไปคว้าหมับเข้าที่นิ้วที่กำลังชี้หน้านางอยู่ ก่อนจะออกแรงบิดทันที

"แกรก!"

"โอ๊ย!"

เสียงกรีดร้องอันน่าสลดใจดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดูกหัก เสียงดังลั่นทะลุเรือนหลังคามุงหญ้า ดังโหยโหนไปไกล

ทุกคนในเรือนมองไปที่มู่จิ่วเยว่อย่างตกตะลึง จนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

ไหนว่านังผู้หญิงผู้นี้ดวงกินผัว แต่เป็นพวกอ่อนแอขี้ขลาดไม่ใช่หรือ?

ไม่เช่นนั้น นางคงไม่วิ่งเอาหัวชนกำแพงหวังฆ่าตัวตายหลังจากเพิ่งจะมาถึงเรือนของพวกเขา และได้เห็นสภาพนี้เข้าเช่นนี้หรอก

แต่ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้กลับต่างไปจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง

มู่จิ่วเยว่ขมวดคิ้วแน่น คนที่ถูกหล่อนหักนิ้วมือเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีผมหงอกขาวโพลนตามขมับทั้งสองข้าง ใบหน้าบูดเบี้ยวและมองหน้าหล่อนด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมูกน้ำตา

ภายในเรือนมีคนอยู่จำนวนไม่น้อย ทุกคนกำลังมองเจ้าหล่อนด้วยความงุนงง เมื่อพวกผู้ชายเหล่านั้นสบสายตากับนาง พวกเขาต่างก็รีบก้มหน้าหลบสายตาทันที

มู่จิ่วเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่นางอยู่ที่ไหน? ทำไมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ?

ขณะที่หล่อนกำลังครุ่นคิด จู่ๆ หล่อนก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาจนต้องรีบยกมือขึ้นกุมขมับแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

“นังสารเลว คิดจะแกล้งตายอีกงั้นหรือ ท่านแม่รีบไล่พวกเขาออกไปเร็ว นางผู้นี้เป็นตัวซวยจริงๆ”

เฉิงซื่อน้ำเสียงแหลมคม สายตาของนางจ้องมองมู่จิ่วเยว่ด้วยความคับแค้นใจ

นังตัวซวยผู้นี้ไม่เพียงแต่หักนิ้วของนาง แต่ยังดึงดูดสายตาของผู้ชายทั้งเรือน ถ้าหากเก็บนางเอาไว้ที่เรือนต้องเป็นตัวหายนะแน่

มู่จิ่วเยว่วางมือลงอย่างมึนงง กวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะไปหยุดที่เตียงที่อยู่ด้านใน ชายหนุ่มรูปงามแต่ใบหน้าซีดขาวที่กำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าเย็นชา

ชายคนนั้นคือสามีคนปัจจุบันของนาง เมื่อห้าวันก่อนเขาขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขาแต่เกิดเหตุให้ขาหักทั้งสองข้าง หมอบอกว่าไม่มีโอกาสรักษาให้หายได้อีกแล้ว

เมื่อสองวันก่อน คู่หมั้นของเขามาขอถอนหมั้นถึงเรือน โดยไม่แม้แต่จะแลมองเขาสักนิด

วันนี้พี่น้องของเขายุยงท่านพ่อท่านแม่ให้จับเขาแยกเรือนออกไป เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป พวกเขาทุ่มเงินกว่าแปดร้อยอีแปะ ซื้อตัวผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวซวยผู้นี้ให้มาเป็นเมียของเขา

เมื่อเจ้าของร่างเดิมมาเห็นสถานการณ์ที่ตกอยู่ในสภาพนี้ นางจึงวิ่งเอาหัวชนกำแพงก่อนที่จะฟื้นขึ้นมาเป็นหล่อนในตอนนี้

ท่านหญิงเฒ่าหลิ่วมองชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงด้วยสีหน้าละอาย “ชิงอวี่ เจ้าอย่าหาว่าแม่ใจร้ายเลยนะ เจ้าอายุปูนนี้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องแต่งงานออกเรือนแล้ว”

“แม่ตัดสินใจแต่งภรรยาให้เจ้า นับว่าไม่ได้ใจร้ายกับเจ้านัก วันนี้พวกเจ้าย้ายไปอยู่เรือนเก่าที่ตีนเขาโน่นเถิดนะ”

ท่านหญิงเฒ่าหลิ่วพูดจบ ก็หันไปมองผู้ว่าหมู่บ้านอย่างระแวดระวัง “พี่รอง แบบนี้พี่คิดเห็นเช่นไร?”

ผู้ว่าหมู่บ้านเป็นชายชราวัยหกสิบกว่า ๆ และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านพ่อของหลัวชิงอวี่

เขาเอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ชิงอวี่ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

หลัวชิงอวี่เม้มริมฝีปากซีดเผือดของตัวเองแน่น ผ่านไปพักใหญ่แล้วจึงเอ่ยพูดด้วยเสียงแผ่วเบา "แยกเรือน!"

แม้ว่าปากจะพูดเพียงคำเดียว แต่มู่จิ่วเยว่กลับได้ยินความสิ้นหวังและความเยือกเย็นในคำพูดของเขา

เฉินซื่อมองมู่จิ่วเยว่ราวกับถูกยาพิษ “นางหักนิ้วของข้า นางต้องชดใช้”

มู่จิ่วเยว่ได้ยินเช่นนั้น ก็ชักสีหน้าเย็นชา ก่อนจะก้าวเข้าไปสองก้าว แล้วเอื้อมมือเข้าไปหาหล่อน

เฉินซื่อตกใจมากจนอยากจะถอยกรูดไปอยู่ด้านหลังพวกผู้ชาย แต่กลับถูกมู่จิ่วเยว่คว้าหมับเข้าที่นิ้วมืออย่างง่ายดาย

"แกรก!"

“โอ๊ย!” เฉินซื่อเจ็บมากจนต้องกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือดอีกครั้ง

“นิ้วของเจ้าหายแล้ว ไม่จำเป็นต้องชดใช้ สิ่งใดที่ควรเป็นของพวกเราอย่าให้ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว”

เสียงแหบแห้งของมู่จิ่วเยว่ดังขึ้น เมื่อครู่แค่บิดนิ้วมือของหล่อนหลุดข้อเท่านั้น นางสามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดาย โดยไม่หลงเหลือร่องรอยให้เห็น

ในเมื่อนางมาที่นี่แล้ว ในเวลาสั้นๆ นี้นางเองก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ไม่สู้อยู่ที่นี่ก่อน หลังจากสืบความสถานการณ์ตอนนี้ได้แล้วค่อยคิดหาทางออกต่อไป

“เจ้า เจ้าโกหก ——เอ๊ะ ไม่เจ็บแล้วจริงๆ ด้วย?” เฉินซื่ออยากจะเถียงกลับ แต่กลับพบว่านิ้วมือของตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แถมยังไม่เจ็บเลยด้วย

มันน่าแปลกเกินไปแล้ว? เมื่อครู่ยังเจ็บขนาดนั้นแท้ๆ จนถึงตอนนี้นางยังจำความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นได้ มันเป็นไปได้ยังไง?

“บังอาจ! บังอาจนัก!” ใบหน้าเหี่ยวย่นของท่านหญิงเฒ่าหลิ่วบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ พลางจ้องมู่จิ่วเยว่ตาถลน “ในสายตาเจ้ายังมีผู้อาวุโสอย่างพวกข้าอยู่หรือไม่?”

“ผู้อาวุโส? ผู้อาวุโสที่เตะบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองที่เพิ่งจะได้รับบาดเจ็บออกจากเรือน โดยไม่สนใจใยดีน่ะหรือ?”

น้ำเสียงของมู่จิ่วเยว่ยังคงแหบห้าว นางเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส? ที่รู้ทั้งรู้ว่าข้าได้รับขนานนามว่าเป็นหญิงกินผัว แต่ก็ยังยัดเยียดข้าให้มาเป็นภรรยาบุตรชายของตนเอง ความคิดของพวกเจ้าก็ป่าวประกาศต่อโลกภายนอกอย่างประจักษ์แจ้งอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“บังอาจ!” เฒ่าแก่หลัวตะโกนร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “เพิ่งจะเข้าเรือนก็เถียงคำไม่ตกฟาก คนอย่างเจ้ามีสิทธิ์ออกปากออกเสียงที่นี่หรือ”

“เพราะข้าพูดจาแทงใจดำถึงได้เกรี้ยวโกรธเช่นนี้หรือ?” มู่จิ่วเยว่ยิ้มเยาะ “ในเมื่อข้าแต่งเข้าเรือนมาเป็นภรรยาของชิงอวี่ ตอนนี้เรื่องแยกเรือนเป็นเรื่องของพวกเรา เหตุใดข้าจะมีสิทธิ์พูด”

“จะแยกเรือนก็ต้องแยกให้มันชัดเจน ไม่เช่นนั้นข้ากับสามีจะอยู่ได้อย่างไร”

“สามีได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็เพื่อเครือตระกูลนี้ใช่หรือไม่? เวลานี้เขาบาดเจ็บสาหัส นอนติดเตียงขยับตัวไม่ได้ และข้าต้องเคี่ยวซุปไก่แก่ให้เขาอย่างน้อยวันละตัวเพื่อบำรุงร่างกายถูกไหม?”

“แผลที่ขาของเขาต้องทำแผลทุกวันใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นแผลจะอักเสบได้ง่ายจนทำให้ปากแผลใหญ่และเนื้อเน่าได้”

“ยาก็ต้องกินทุกวันมิให้ขาดใช่ไหม ก่อนหน้านี้หมอบอกว่าค่ายาคู่หนึ่งราคาเท่าใดนะ?”

“สามีขยับไม่ได้ ข้าต้องดูแลสามี งานนอกงานในเรือนก็ช่วยทำไม่ได้ ทุกคนควรจะดูแลช่วยเหลือมากๆ ถึงจะถูก”

มู่จิ่วเยว่พูดเร็วมาก ราวกับเทถั่วใส่กระบอกไม้ไผ่ ไม่เปิดโอกาสให้ใครโต้ตอบเลย

“ผู้ว่าหมู่บ้าน ท่านต้องช่วยพวกเรานะ ข้าเพิ่งจะแต่งเข้าเรือนท่านไม่ยอมรับข้าไม่เป็นไร แต่ท่านเห็นสามีของข้าเติบโตมาแต่เล็กแต่น้อย ท่านจะเพิกเฉยไม่สนใจไม่ได้นะเจ้าคะ"