บทที่ 9 รอรับพี่ใหญ่ 1.2
การเดินขบวนกลับบ้านของแม่ทัพฮุ่ยเหอและทหารเป็นเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ชาวบ้านต่างออกมาต้อนรับต่างก็แสดงความเคารพและสรรเสริญขบวนทัพที่เดินอย่างเป็นระเบียบเสียงดนตรีที่ดังกึกก้องไปทั่วเป็นการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งภาพที่น่าจดจำและสร้างความประทับใจ
ฮุ่ยเจียงมองเห็นพี่ใหญ่ของนางนั่งอยู่บนหลังม้าผงาดในชุดเกราะเหล็กท่ามกลางแสงแดดเขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเข้มแข็งและมีรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้ารวมถึงทหารทุกนายที่เดินอย่างเป็นระเบียบด้วยการแต่งกายที่เต็มยศไม่ต่างกันถัดไปเป็นนายทหารยศรองลงมาขี่ม้าและถือธงชัยที่แสดงถึงการชนะศึกขบวนทัพมีการบรรเลงดนตรีด้วยกลองและแตรเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งชัยชนะเสียงดนตรีดังกึกก้องไปทั่วเส้นทางที่ผ่านชาวบ้านพากันออกมาต้อนรับ บ้านเรือนของพวกเขาประดับบ้านเรือนด้วยธงและดอกไม้มีการจุดดอกไม้ไฟเพื่อเฉลิมฉลองพวกชาวบ้านนำของขวัญและอาหารมามอบให้ทหารเพื่อแสดงความขอบคุณและยินดีต้อนรับทหารทุกคนที่ได้กลับบ้าน
ในที่สุดขบวนก็เข้ามาหยุดที่หน้าบ้านสกุลฮุ่ยร่างสูงสง่าของบุตรชายคนโตค้อมศีรษะให้บิดามารดาและแม่รองด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่ยังมิได้ลงมาแสดงความเคารพอย่างใกล้ชิดเพราะขบวนยังต้องเคลื่อนต่อไปยังเมืองหลวง บรรดาผู้คนที่เห็นชายชาตินักรบขี่อาชาหยุดตรงหน้าจวนสกุลฮุ่ยต่างคนต่างก็ช่วยกันสรรเสริญสกุลฮุ่ยผู้มีบุตรชายที่เก่งกาจ สามารถนำกองทัพปราบศัตรูจนพ่ายแพ้ถือเป็นความภาคภูมิใจแก่สกุลฮุ่ยและถือเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเป็นอย่างมากและไม่มีผู้ใดไม่ยกย่องสรรเสริญ
ฮุ่ยเหอที่เห็นครอบครัวมารอรับก็ส่งยิ้มให้ด้วยความดีใจรอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้มีในสนามรบแย้มกว้างออกมาให้แก่ครอบครัวที่ยืนรอรับอย่างห้ามมิได้ ดวงตาที่เย็นเฉียบฆ่าฟันศัตรูไม่เลือกหน้าตอนนี้กับเผยแววตาอ่อนโยนถ้าใครจะสังเกตอีกนิดจะเห็นว่าบุตรชายผู้เก่งกาจของตระกูลฮุ่ยผู้นี้มีดวงตาแดงก่ำด้วยความคิดถึงครอบครัวเป็นอย่างมาก ยามที่เห็นหน้าบิดามารดาและแม่รองที่กำลังหลั่งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยินดีก็ทำให้ฮุ่ยเหออยากกระโจนลงไปหาพวกเขากอดปลอบด้วยความรักและคิดถึง
ดวงตาคมกริบยังมองไปยังเด็กสาวที่กำลังโบกไม้โบกมือตะโกนเรียกพี่ใหญ่แข่งกับเด็กน้อยอีกสองคนอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่ข้างกายบิดามารดานี่คงเป็นฮุ่ยเจียงน้องสาวคนรองของเขาแน่นอนไม่น่าเชื่อว่าน้องสาวจะโตขนาดนี้แล้ว สงสัยกลับมาคราวนี้เขาคงไม่ปล่อยให้น้องสาวได้อยู่ไกลตา ฮุ่ยเหอเหมือนจะมีอาการหวงน้องสาวกำเริบโดยไม่รู้ตัว
ส่วนเด็ก ๆ ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างแม่รองคงเป็นน้องชายคนเล็กและน้องสาวคนเล็กของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
น้องชายน้องสาวในวัยเยาว์ตอนนี้โตขึ้นมากแล้วอยากจะเข้าไปกอดเสียเหลือเกินแต่บุตรผู้ทำคุณแก่แคว้นตอนนี้ยังมีสิ่งที่ต้องทำขบวนยังต้องเดินต่อไปจนถึงเมืองหลวง ฮุ่ยเหอเพียงแค่ก้มศีรษะให้บิดามารดาอีกครั้งแล้วยกมือโบกให้กับน้อง ๆ ก่อนจะหันหน้าเดินทางต่อ
ด้วยความโดดเด่นสง่างามของบุรุษที่ควบบนอาชาทำให้สาวงามที่อยู่บริเวณโดยรอบพากันชะเง้อมองบางคนก็โปรยดอกไม้ไปตามทางที่บุรุษหล่อเหลาเดินผ่านไป
ฮุ่ยเหอตั้งหน้าตั้งตาเดินทางต่อแต่ในหูยังได้ยินถึงทหารทางด้านหลังที่พูดถึงน้องของเขาด้วยความชื่นชมอย่างไม่ขาดปากด้วยความหวงน้องสาวจึงหันไปหาทหารที่พวกควบอาชาตามหลังดวงตาแข็งกร้าวมองไปที่คนใต้บังคับบัญชาทีละคนทำเอาผู้คนเหล่านั้นหุบปากลงทันทีเพราะเกรงว่าถ้าพูดต่อตอนนี้หัวอาจจะหลุดจากบ่าก็เป็นได้ ดูท่าแล้วท่านแม่ทัพคงหวงน้องสาวไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนฮุ่ยเหอที่ใช้สายตากำราบลูกน้องก็หันกลับมาทำหน้าตรงเหมือนเดิมและเดินทางต่อฝ่ายฮุ่ยเจียงและครอบครัวเมื่อเห็นว่าขบวนลับสายตาไปแล้ว ก็พากันเสียดายเพราะพวกเขายังมองหน้าแม่ทัพใหญ่ไม่เต็มตาด้วยความคิดถึงและห่วงหาที่ลูกชายคนโตจากบ้านไปนานการมองเพียงแค่ นิดเดียวยังไม่ทำให้ความคิดถึงจางหายไปแต่เพราะแม่ทัพใหญ่ยังต้องเข้าไปในวังหลวงเพื่อรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาจึงได้แต่รอคอยอย่างใจเย็นก่อนที่ ฮุ่ยหมิ่นมองร่างสูงของบุตรชายแม้จะไม่แสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนแต่สายตาที่มองลูกชายแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจและความห่วงใยจนขบวนหายลับไปแล้วหันมาบอกกับภรรยาและลูก ๆ ให้กลับเข้าไปในจวนเมื่อเห็นว่าท้ายขบวนลับไปแล้ว
"ไปเถอะเข้าจวนกันประเดี๋ยวข้าก็จะต้องตามเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหมือนกัน"
"เจ้าค่ะท่านพี่ไปเด็ก ๆ กลับเข้าจวน เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมอาหารรอท่านพ่อกับพี่ใหญ่เจ้า" ฮูหยินใหญ่ที่ยืนซับน้ำตาก็หันมารับคำสามีและหันมาเรียกเด็ก ๆ
"พี่หญิงเดี๋ยวข้าเข้าไปช่วยท่านด้วยเจ้าค่ะ"
"มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าฝีมือการทำอาหารของข้าด้อยยิ่งนักมีแต่เจ้าที่สามารถทำอาหารให้สามีและลูกทานจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ถึงเพียงนี้" ซูลี่พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
ใครต่างก็รู้ว่าฝีมือทำอาหารของฮูหยินใหญ่นั้นเป็นที่เลื่องลือมากหากเป็นไปได้แล้วก็ไม่มีใครอยากให้ฮูหยินใหญ่เข้ามาในครัวเพียงแม้แต่คนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นฮูหยินใหญ่ก็ไม่ถือสา เพราะรู้ตัวดีว่าตนเองนั้นทำอาหารไม่เก่ง ถึงรสชาติไม่แย่แต่ถ้าทานเข้าไปมาก ๆ ลิ้นอาจจะไม่รับรู้ถึงรสชาติอาหารอื่นอีกเลยก็เป็นได้
การเข้าครัวจึงเป็นของฮูหยินรองที่มีฝีมือการทำอาหารล้ำเลิศตั้งแต่ยังสาวอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เด็ก เพราะบิดาเคยเป็นพ่อครัวที่มีชื่อเสียงทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมแต่ด้วยความชราจึงไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิม ทำให้ต้องร่อนเร่เดินทางต่างแคว้นเพื่อมาหางานทำและเสียชีวิตในที่สุด จนได้มาพบกับฮูหยินใหญ่และสามีและนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดความภาคภูมิใจถึงแม้ชาติกำเนิดของฮูหยินรองจะเป็นเพียงสาวชาวบ้านแต่ความสามารถก็มีให้ผู้คนยอมรับ
ไม่ว่าแขกไปใครมา ความสามารถของฮูหยินรองเรื่องการทำอาหารที่ฮูหยินใหญ่คอยสนับสนุน ก็เป็นที่ชื่อหน้าชูตาของนางให้ได้รับความยกย่องจากผู้คนที่อยู่ด้านนอก ไม่มีใครที่คิดเหยียดหยามเชื้อชาติกำเนิดของนาง และผู้คนเหล่านั้นยังอิจฉาท่านราชครูที่มีฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองที่รักใคร่กลมเกลียวอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์เป็นที่เชิดหน้าชูตาแถมยังมีบุตรชายและบุตรสาวที่น่ารัก
เห็นทีว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะมีเพียงจวนท่านราชครูฮุ่ยหมิ่นเพียงแห่งเดียวที่ไม่มีปัญหาเรื่องภรรยาตีกันให้ปวดหัว ตอนนี้ผู้คนที่เรียงรายกันอยู่สองข้างทางพากันทยอยกลับไปแล้ว ฮุ่ยเจียงที่ยังยืนอยู่หน้าจวนกับสาวใช้ นางยังชะเง้อชะแง้ไปยังขบวนที่หายลับไปด้วยความเสียดาย
ในตอนที่นางกำลังจะหมุนตัวกลับสายตาของนางพลันไปปะทะกับบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาดูโดดเด่นเป็นสง่าทำเอานางไม่อาจจะถอนสายตาออกมาได้ เพียงสบตามองคล้ายโลกทั้งใบหยุดหมุน หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าคมคร้ามมุมปากกดลึกเป็นรอยยิ้ม แฝงไปด้วยความลึกลับและน่าค้นหาเขาดูมีอำนาจและเสน่ห์อย่างที่ไม่อาจละสายตาได้
ขนาดชาติก่อนที่เคยเจอกับบุรุษชั่วผู้นั้นครั้งแรกนางยังไม่รู้สึกใจเต้นแรงขนาดนี้ นี่เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ นางพยายามจะละสายตาออกจากเขาแต่ไม่สามารถทำได้ บางสิ่งในอกรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แผ่ซ่าน ไม่รู้เหตุใดเพียงแค่สบตานางถึงได้รู้สึกอิ่มเอิบในหัวใจได้ถึงขนาดนี้