บทที่ 10 รอรับพี่ใหญ่ 1.3
ดวงตากลมโตของนางประสานสายตาอันนุ่มลึกและยิ่งทำให้นางใจสั่น จนตอนนี้นางก็มิอาจสบตาเขาได้อีกต่อไป ใบหน้าสวยก้มงุดหน้าแดงเป็นผลผิงกั๋วยามสุกงอม แต่ส่วนลึกในจิตใจก็ยังอยากจะมองบุรุษสง่างามผู้นั้นอีกครั้ง ในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นเพื่ออยากจะมองบุรุษผู้นั้นแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ฮุ่ยเจียงสอดสายตามองซ้ายมองขวาเพื่อหาบุรุษผู้นั้นแต่ก็ไม่พบและนางรู้สึกเสียดายอย่างมาก เจียอีที่เห็นคุณหนูทำท่าหาใครก็ถามขึ้นสายตาก็มองไปยังเบื้องหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่า
"คุณหนูมองหาใครรู้เจ้าคะ" เจียอีถามอย่างสงสัยสายตามองไปยังทิศทางที่คุณหนูมองอยู่
"เอ่อ..ข้า..ไม่มีอะไรเรากลับเข้าจวนกันเถอะ" เมื่อมองหาอยู่นานก็ไม่พบคนผู้นั้นฮุ่ยเจียงเดินนำสาวใช้เข้าไปในจวนในความรู้สึกเหมือนมีม่านจาง ๆ ปกคลุมในใจภาพเลือนรางของใครบางคนที่ผ่านเข้ามาทำให้นางชะงักค้างพยายามเค้นความทรงจำ บุรุษร่างสูงใหญ่ที่มองเพียงแต่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ให้ความคุ้นเคยอย่างประหลาด "เหตุใดข้าถึงคุ้นเคยนัก" ฮุ่ยเจียงพึมพำออกมาด้วยความเสียดายโดยไม่รู้ว่ายังมีบุรุษที่นางมองหาแอบมองอยู่ด้านบนหลังคาของร้านค้าฝั่งตรงข้าม พอเห็นว่างนางเข้าไปในจวนแล้วเขาใช้วิชาตัวเบาทะยานมุ่งตรงไปที่วังหลวง
วังหลวง
เมื่อขบวนกองทัพของฮุ่ยเหอมาถึงวังหลวงแม่ทัพใหญ่ได้เข้ามาเฝ้าฮ่องเต้และรายงานเหตุการณ์สำคัญถึงชัยชนะที่เกิดขึ้นในการทำศึกครั้งนี้อย่างละเอียดและครบถ้วน เรื่องราวที่เป็นเหตุการณ์สำคัญเหล่านั้นได้สร้างความพึงพอใจให้กับฮ่องเต้ไม่น้อย เนื่องจากถูกรุกรานอย่างยาวนานสร้างความรำคาญอยู่ตลอด กลัวว่าถ้าปล่อยให้ยืดเยื้ออาจมีความร้ายแรงกว่านี้เกิดขึ้นได้ ตอนนี้ก็เหลือพระราชทานรางวัลตามที่ท่านแม่ทัพใหญ่สมควรได้รับ
“แม่ทัพฮุ่ยเหอเจ้าต้องการให้ข้าตกรางวัลสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่” เมื่อฮ่องเต้ตรัสถาม ฮุ่ยเหอจึงคิดอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน ก่อนจะขอพระราชทานรางวัลเป็นออกราชโองการให้น้องสาวสามารถเลือกบุรุษเป็นสามีได้โดยไม่มีการบังคับ ฮ่องเต้ได้ฟังก็แปลกใจแต่ก็สั่งให้ขันทีไปเตรียมออกราชโองการเพื่อส่งมอบให้กับตระกูลฮุ่ยในวันพรุ่งนี้ แล้วยังทรงมอบเงินรางวัลให้ไปจัดเลี้ยงฉลองการกลับมาของแม่ทัพใหญ่เพื่อเป็นการฉลองชัยในครั้งนี้ด้วย หลังจากพระราชทานรางวัลเสร็จฮ่องเต้ก็เสด็จกลับ เหลือแต่เพียงบรรดาขุนนางที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับราชครูและบุตรชาย บางคนก็เข้ามาแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ บางคนก็เข้ามาแสดงความยินดีตามมารยาท แต่ถึงยังงั้นท่านราชครูก็มิได้ใส่ใจเพราะรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นอย่างไรการคบหาสมาคมพวกขุนนางก็เลือกคบแต่มิตรเพียงน้อยนิดที่จริงใจเท่านั้น
"ดูเหมือนท่านราชครูจะดีใจไม่น้อยเลยเชียวนะวันนี้" เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านข้างทำให้แม่ทัพใหญ่และท่านราชครูหันไปมองคนที่มาใหม่และไม่แปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใครถ้าไม่ใช่ห่าวฉี เสนาบดีกรมอาญาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับท่านราชครูมานาน ห่าวฉีซึ่งเป็นถึงพี่ชายของสนมเต๋อเฟยที่เป็นอีกคนที่ต้องการช่วงชิงตำแหน่งของรัชทายาท และยังแผ่ขยายอำนาจเพื่อให้เหล่าขุนนางเข้าร่วมสนับสนุนหลานชายตนเองแทนรัชทายาท หลังจากหลินฮองเฮาสิ้นพระชนม์ตระกูลหลินก็เริ่มอำนาจถดถอย แต่อุปสรรคของห่าวฉีก็คือราชครูฮุ่ยหมิ่นที่คอยทัดทานอำนาจอยู่ตลอด และราชครูก็ยังเป็นคนที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญเพราะเป็นถึงอาจารย์ของสวีเสวียนหนานโอรสองค์โต รวมถึงรัชทายาทก็เป็นลูกศิษย์ด้วยเช่นกัน แต่ในใจของห่าวฉีนั้นก็มิได้เกรงกลัว
สายตาที่ห่าวฉีใช้มองสองพ่อลูกจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ปิดไม่มิด ที่เข้ามาก็ไม่ได้จะเข้ามาแสดงความยินดีอย่างแท้จริง เพราะในใจ ลึก ๆ นั้นมีใจริษยาไม่น้อย
ฮุ่ยหมิ่นเพียงมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาติดนิ่ง แล้วพูดอย่างไม่ไว้หน้า "ก็ไม่แปลกอันใดนี่ท่านเสนาบดี เพราะบุตรชายข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่นำทัพชนะศึกกลับมา หากข้าจะดีใจจนหน้าบานก็มิเห็นแปลก แล้วท่านเล่า บุตรชายของท่านมีเรื่องยินดีแบบข้าหรือไม่ ฮึ! แต่ก็ขอบคุณท่านนักที่เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรชายข้า เอาเถอะ ข้าต้องขอตัวกลับก่อนมิอาจทำให้ท่านเสียเวลา" พูดจบฮุ่ยหมิ่นก็หันหลังสะบัดชายผ้าเดินออกไปด้วยท่าทางเยือกเย็นส่วนแม่ทัพฮุ่ยเหอเพียงคารวะตามมารยาทแล้วก็เดินตามบิดาไป อันที่จริงห่าวฉีนั้นมีบุตรชายคนโตเป็นถึงราชทูตแต่เพราะคนผู้นั้นก็ไม่ได้มีผลงานโดดเด่นส่วนคนรองก็ยังไม่มีการงานใหญ่โต ทำให้ฮุ่ยหมิ่นสามารถนำเอาเรื่องนี้มาข่มห่าวฉีได้
สองพ่อลูกคิดตรงกันว่าคนผู้นี้ไม่มีเรื่องอันใดให้เสวนาด้วยนักถือว่าตนเองเป็นพี่ชายสนมถึงชอบทำตัวข่มผู้อื่นทั้งยังใช้อำนาจบาตรใหญ่ในทางมิชอบ
ห่าวฉีที่เห็นถึงความเย่อหยิ่งของสองพ่อลูกนั่นก็คิดเจ็บแค้นในใจ อีกไม่นานเขาจะขยี้พวกมันให้จมดิน
ท่านราชครูและบุตรชายที่กำลังเดินออกจากวังหลวง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวออกไปก็พบกับขันทีที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเดินเข้ามาขวางทางประสานมือแล้วค้อมตัวให้ความเคารพด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"คารวะท่านราชครูคารวะแม่ทัพใหญ่ฮุ่ยเหอข้าน้อยขอเวลาสักครู่"
"ท่านมีอะไรหรือ" ราชครูเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
"เรียนท่านราชครูและท่านแม่ทัพใหญ่ พระสนมกุ้ยเฟยเชิญท่านพบปะพูดคุยกันสักครู่ เชิญพวกท่านตามข้าน้อยมาทางนี้ขอรับ" พอได้ยินว่าสนมกุ้ยเฟยให้มาเชิญทั้งท่านราชครูและแม่ทัพใหญ่ก็มิได้ชักช้าแต่อย่างใดพวกเขาเดินตามขันทีอาวุโสไปทันที ทั้งสองคนเดินเข้ามาสวนดอกไม้ในวังของพระสนมกุ้ยเฟยที่ตั้งอยู่ภายในเขตวังหลวง บรรยากาศภายในสวนเต็มไปด้วยความเงียบสงบและงดงามดอกไม้หลากหลายชนิดบานสะพรั่งเป็นแถวเรียงรายทั่วพื้นที่กลิ่นหอมของดอกไม้จะอบอวลในอากาศทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย
ทั้งสองคนเดินไปตามทางที่ทำจากหินที่ถูกวางเรียงอย่างประณีต ลัดเลาะผ่านแปลงดอกไม้ที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสหลากหลายสายพันธุ์ที่ถูกดูแลอย่างดีและบานสะพรั่งในช่วงฤดูกาลที่เหมาะสม ทางเข้าศาลากลางสระบัวจะมีสะพานไม้เชื่อมไปยังกลางสระบัวที่มีปลาสีสวยว่ายวนอย่างสงบน้ำในบ่อสะท้อนแสงแดดทำให้เกิดแสงระยิบระยับดูสวยงามตา
ศาลาไม้ที่ตั้งอยู่กลางสวนเป็นที่ที่พระสนมกุ้ยเฟยมักใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ศาลาถูกสร้างด้วยไม้สักแกะสลักอย่างวิจิตร สวนที่เงียบสงบแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พระสนมโปรดปราน ฮ่องเต้ยังชอบมาประทับในยามที่ต้องการพักผ่อนสมองในวันที่เหนื่อยล้าจากการออกว่าราชการ
ท่านราชครูและฮุ่ยหมิ่นอดไม่ได้ที่จะชื่นชมบรรยากาศสองข้างทางมองภาพทิวทัศน์ที่งดงามของสวนและฟังเสียงนกร้องท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ท่าทีขุ่นมัวเมื่อเจอกับห่าวฉีพลันหายไปทั้งสองคนสูดกลิ่นบริสุทธิ์ของอากาศเข้าปอดและเผลอยิ้มออกมา หลังจากเข้ามาในศาลาก็เห็นพระสนมนั่งบนเก้าอี้ไม้ในศาลา ข้าง ๆ มีนางกำนัลที่คอยดูแลไม่ห่างและที่นั่งถัดไปยังมีบุรุษในชุดหรูหราที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าไหมสีแดงเข้มชุดท่อนบนมีลวดลายปักทองที่สวยงามเป็นลายมังกรที่ขดตัวอยู่รอบตัวยิ่งทำเขาดูสง่างามและน่าเกรงขามซึ่งกำลังสนทนากับพระสนมอย่างออกรส
"พระสนมกุ้ยเฟย ท่านอ๋องตอนนี้ท่านราชครูและท่านแม่ทัพใหญ่ ฮุ่ยเหอมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีกล่าวรายงาน พระสนมกุ้ยเฟยที่กำลังคุยกับโอรสก็หันไปหาทั้งสองคนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
"คารวะพระสนมกุ้ยเฟย คารวะท่านอ๋อง" ท่านราชครูและแม่ทัพฮุ่ยเหอประสานมือทำความเคารพทั้งสองพระองค์ ส่วนโอรสของพระสนมก็ลุกขึ้นทำความเคารพท่านราชครูด้วยความนอบน้อมเช่นกัน