บทที่ 11 รอรับพี่ใหญ่ 1.4
"ลูกศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ขอรับ" สวีเสวียนหนานค้อมกายด้วยท่าทางสง่างามสมกับเป็นโอรสฮ่องเต้ ท่านราชครูประสานมือรับการคารวะ ฮุ่ยเหอเองก็ทำความเคารพท่านอ๋องตามมารยาทที่ควรกระทำเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ แต่อันที่จริงแล้วทั้งสวีเสวียนหนานและฮุ่ยเหอนั้นเป็นสหายสนิทกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แก้ผ้ากระโดดเล่นน้ำด้วยกันก็เคยมาแล้ว
"ท่านราชครู ท่านแม่ทัพเชิญนั่งก่อน" น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้น พร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" ทั้งสองคนตอบพร้อมกันก่อนจะนั่งลง
"พระสนมให้คนไปตามกระหม่อมมีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ" ท่านราชครูเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
"ไม่มีเรื่องอันใดหรอกท่านราชครู เพียงแค่ข้าต้องการตกรางวัลเป็นพิเศษแก่ฮุ่ยเหอเท่านั้น เขาสร้างความดีความชอบตั้งมากมาย ท่านเองก็ยังช่วยดูแลบุตรชายข้าเป็นอย่างดี หากไม่ได้ท่านสั่งสอนและฮุ่ยเหอช่วยดูแลป่านนี้ไม่รู้ว่าบุตรชายข้าคงไปสำเหร่เทเมาอยู่ที่ไหน" พระสนมกุ้ยเฟยกล่าวหยอกเย้าบุตรชายตัวเองทั้งที่ไม่ได้เป็นสิ่งแท้จริงแต่เพราะว่าบุตรชายไม่ค่อยได้มาหานางเลยเกิดอาการแง่งอนอยากเอาคืนบ้างก็เท่านั้น
"เสด็จแม่เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นกันเล่าลูกมิได้เป็นอย่างที่เสด็จแม่กล่าวเสียหน่อย" สวีเสวียนหนานแก้ตัวพัลวัน
"เจ้าเป็นแต่เจ้าไม่ยอมรับ" สนมกุ้ยเฟยเอ่อแย้งอย่างไม่ยอมแพ้
"เสด็จแม่เหตุใดจึงใส่ร้ายลูกกันเล่า แล้วอย่างนี้ท่านอาจารย์จะมองข้าแบบไหน" สวีเสวียนหนานพูดแก้ตัวคนเป็นมารดาที่เอาตัวเองมาประจานต่อว่าที่พ่อตาในอนาคตได้เยี่ยงไร ขนาดเปรยไปว่าหมายตาบุตรสาวของท่านราชครูไว้แล้ว นี่เสด็จแม่คิดแกล้งกันเกินไปแล้ว ตอนนี้ในสายตาท่านราชครูเขาดูเป็นคนเกเรไปแล้วเสียกระมัง
ฮุ่ยหมิ่นที่เป็นถึงพระอาจารย์ของสวีเสวียนหนาน เหตุใดจะไม่รู้ว่าอันที่จริงท่านอ๋องเป็นเช่นไรไม่เพียงแค่เขาที่เป็นคนสั่งสอนท่านอ๋องเท่านั้น ในครั้งที่เป็นเด็ก บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็วิ่งเข้าวิ่งออกในจวนเป็นว่าเล่น ตัวติดกับบุตรชายของเขาพากันไปเกเรจนโดนไม่เรียวไม่รู้ต่อกี่ครั้ง จนท่านอ๋องถูกส่งไปร่ำเรียนยังต่างแคว้นนั่นแหละที่หายไปเลย ฮุ่ยเหอที่มองท่านอ๋องอยู่ก็เห็นภาพเด็กน้อยซ้อนทับอยู่ไม่ต่างจากในวันวาน เขาก็ยิ้มออกมาสายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอลูกศิษย์หลังจากถูกส่งไปอยู่ในที่ห่างไกล
เหตุเพราะว่าเหล่าขุนนางที่สนับสนุนรัชทายาทเกรงกลัวว่าสนมกุ้ยเฟยจะสนับสนุนบุตรชายและช่วงชิงอำนาจเปลี่ยนตัวรัชทายาท ทำให้พระสนมและฮ่องเต้ทรงปรึกษาหารือและเห็นพ้องต้องกันว่าจะส่งบุตรชายไปร่ำเรียนยังต่างแคว้นจนเขาเติบใหญ่และยังอยู่ปราบกบฏที่ชายแดน ท่านอ๋องขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหดในสนามรบพระองค์ไม่มีความเมตตาต่อศัตรูและจะกำจัดทุกคนที่ขวางทางโดยไม่ลังเล ความโหดเหี้ยมของพระองค์เป็นที่เลื่องลือและเป็นที่หวาดกลัวของศัตรูทั่วทั้งแผ่นดิน ทุกครั้งที่พระองค์ลงสนามศัตรูจะรู้สึกถึงความหวาดกลัว หลายคนเลือกที่จะหลบหนีมากกว่าจะเผชิญหน้ากับพระองค์ แต่ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าท่านอ๋องนั้นมิได้ต้องการช่วงชิงอำนาจจากองค์รัชทายาทและยังเป็นกำลังเสริมคอยช่วยเหลือสนับสนุน
ภาพที่พระสนมและโอรสที่โต้ตอบกันอย่างอบอุ่นทำให้บุรุษต่างวัยทั้งสองคนได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้ ต่างกันตรงที่แต่ก่อนท่านอ๋องยังตัวนิดเดียวเท่านั้น
ขันทีตงที่เห็นทั้งสองพระองค์เริ่มจะถกเถียงกันก็กระแอมหนหนึ่งเพื่อให้ทั้งสองรู้ตัวว่าตอนนี้มิได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง พระสนมกุ้ยเฟยที่ได้ยินเสียงขันทีก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้นั่งอยู่กับท่านราชครูผู้ที่โอรสเปรยว่าต้องการบุตรสาวมาเป็นพระชายา
พระสนมกุ้ยเฟยหันมาทางราชครูและบุตรชายยกน้ำชาขึ้นจิบให้คล่องคอแล้วกล่าวต่อ
"ช่างน่าขายหน้ายิ่งนักดันมาทะเลาะกับโอรสต่อหน้าพวกท่านแบบนี้" น้ำเสียงละมุนละไมเอ่ยขึ้นดวงหน้างามประดับด้วยรอยยิ้ม
ฮุ่ยหมิ่นที่ได้ฟังเพียงยิ้มเท่านั้นเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยู่ท่ามกลางการถกเถียงกันระหว่างสองพระองค์ แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นถึงความรักของทั้งสองคนเด่นชัด จึงมิเห็นว่ามีสิ่งใดให้ขัดสายตาในยามที่ท่านอ๋องอยู่กับพระมารดาช่างเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนต่างจากอยู่ในสนามรบฆ่าศัตรูได้โดยไม่กะพริบตา ความโหดเหี้ยมนั้นใครก็เห็นอย่างประจักษ์สายตามาแล้วทำให้ราชครูไม่ถือสาและยังนึกชมชอบอยู่ในใจ
รวมทั้งยินดีที่ท่านอ๋องมาคบกับบุตรชายของตัวเองเป็นสหายโดยไม่คำนึงถึงฐานะบรรดาศักดิ์และท่านอ๋องก็ปฏิบัติต่อเขาและฮูหยินทั้งสองคนด้วยความเคารพอย่างเสมอภาคกัน
"ที่ข้าเชิญพวกท่านมาข้าเพียงต้องการแสดงความยินดีกับท่านราชครูเท่านั้น และข้าเองก็มีของเล็ก ๆ น้อย ๆ จะให้บุตรชายของท่านฮุ่ยเหอเจ้าช่างเก่งกาจนัก ขันทีตงยกหีบที่ข้าให้จัดเตรียมเอาไว้มาให้ข้า" พูดกับราชครูแล้วหันไปหาฮุ่ยเหอส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้
"พ่ะย่ะค่ะพระสนม" ขันทีตงออกไปตามรับสั่งไม่นานเหล่าขันทีและนางกำนัลก็ยกหีบมาวางเรียงราย พระสนมเปิดหีบใบเล็กที่แกะสลักอย่างประณีต หยิบของที่ต้องการ
"แม่ทัพฮุ่ยเหอ ของสิ่งนี้ข้าให้เจ้าจงเก็บรักษาเอาให้ดี” สนมกุ้ย เฟยส่งตราสัญลักษณ์ที่ใช้สำหรับเข้าออกวังหลวงของพระราชวงศ์ยื่นไปตรงหน้าฮุ่ยเหอ ตราสัญลักษณ์นี้เป็นเสมือนสิทธิพิเศษสามารถเข้าออกวังหลวงได้ตามใจ เพื่อตอบแทนในความจงรักภักดีที่มีให้ตลอดมา
"ส่วนสิ่งของในหีบนี้เอาไว้ให้ภรรยาในอนาคตของเจ้า ส่วนหีบนี้เป็นผ้าไหมชั้นดีที่ข้าเพิ่งได้มาใหม่ข้าฝากเจ้ามอบให้มารดาทั้งสองของเจ้า ของชิ้นนี้นำไปฝากน้องสาวคนโตของเจ้าและขนมเหล่านี้ข้าฝากเอาไปให้น้องชายกับน้องสาวของเจ้า" สนมกุ้ยเฟยชี้แจงรายละเอียดสิ่งของทุกอย่างที่พระราชทานให้และสิ่งของชิ้นสุดท้ายซึ่งเป็นชิ้นที่สำคัญที่สุด กำไลหยกชั้นดีที่หยิบออกมาจากในเสื้อตัวเองถูกนำมามอบให้แม่ทัพใหญ่แต่ที่บอกไม่ได้ก็คือกำไลหยกชิ้นนี้เป็นของโอรสที่ต้องการนำมาให้บุตรสาวของท่านราชครูนั่นเอง
"ฝากบอกน้องสาวของเจ้า ว่าข้าอยากให้นางสวมใส่ติดตัวเอาไว้ตลอด มันจะช่วยป้องกันอันตราย" แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องที่พระสนมเพิ่งคิดขึ้นมาเพื่ออยากให้หญิงสาวได้ใส่ติดตัวตามที่โอรสขอร้อง แล้วนางจะพูดสิ่งได้ ได้แต่ขออภัยทั้งสองคนอยู่ในใจ
"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะพระสนม กระหม่อมจะนำความไปบอกน้องสาวตามที่รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ" ฮุ่ยหวงรับหยกและนำเก็บใส่เสื้อไว้อย่างดี
"เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกท่านไปพักผ่อนเถิด ข้าไม่รบกวนเวลาครอบครัวของพวกท่านแล้ว ป่านนี้คงชะเง้อรอแย่แล้ว"
"ขอบพระทัยพระสนม ถ้าอย่างนั้นพวกกระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ" ท่านราชครูพูดแล้วลุกขึ้นคารวะพระสนม แล้วทั้งสองคนก็พากันเดินออกจากวังหลวงเหลือเพียงพระสนมกุ้ยเฟยและโอรส
"เสด็จแม่เหตุใดจึงพูดเยี่ยงนั้นเล่า ตอนนี้ในสายตาท่านพ่อตาคงเห็นว่าลูกเป็นคนไม่ดีไปแล้วกระมัง" สวีเสวียนหนานโอดครวญทำหน้าเศร้าพลางคิดว่าไม่น่าเปรยให้เสด็จแม่รู้เลย
สนมกุ้ยเฟยที่ได้ยินบุตรชายโอดครวญก็ตีมือไปที่แขนแกร่งของบุตรชายพลางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน "เจ้าคิดว่าท่านราชครูไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร ท่านราชครูเป็นถึงอาจารย์ของเจ้า ดีไม่ดีตอนนี้ท่านราชครูอาจจะกำลังคิดให้เจ้าเป็นบุตรเขยก็เป็นได้"