บทที่ 3
รถม้าเคลื่อนตัวบนทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย ก่อนนั้นมันวิ่งผ่านทะเลทรายร้อนระอุ และทุ่งหญ้าหนาวเหน็บ เดินทางบนเส้นทางที่มีอากาศแตกต่างกันเช่นนี้อยู่หลายวัน ในที่สุด รถม้าก็หยุดลงหน้ากลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งบอกถึงความยากลำบากจากการเดินทางว่าจบสิ้นลงเสียที
การเดินทางสิ้นสุดเมื่อเจ้าแคว้นที่นั่งบนหลังม้าตวัดตัวลง และเดินมาหยุดหน้าขบวนรถม้า อาคันตุกะที่ยืนหน้าสุดของรถม้ายกมือขวาแนบที่หน้าอกซ้าย ก้มตัวลงให้กับชายคนนั้นอย่างนอบน้อม นั่นคือการทำความเคารพแบบทุ่งหญ้า
ผู้นำแคว้นวัยสามสิบกว่า ทว่ายังคงหนุ่มแน่นและหล่อเหลายิ้มให้กับอาคันตุกะ และบอกกับฝ่ายนั้นว่า
“ทำตัวตามสบายเถิด”
ดูจากลักษณะภายนอก ชายผู้นี้แต่งตัวด้วยผ้าเนื้อดีและสวมเครื่องประดับ รวมทั้งดาบโค้งที่ห้อยอยู่ข้างเอวสอบ ด้ามจับฝังด้วย
อัญมณีราคาแพง ในกลุ่มคนทั้งหมด เขาดูมีอำนาจมากที่สุด และไม่ยากที่จะบอกฐานะ
อาคันตุกะค้อมศีรษะให้อีกครั้ง จากนั้นก็ยืนตัวตรง มองดูชายผู้ทรงอำนาจผู้นี้เดินผ่านเขาและกลุ่มคนที่ยืนเรียงหน้าขบวนรถม้า กระทั่งเขาเดินไปหยุดยืนถึงหน้าประตูรถม้า
ชายคนนั้นเมื่อหยุดยืนหน้ารถม้า เขาพูดกับคนในรถม้าว่า
“ข้ากาหลิม ซาฮิน กุนย่าห์ ผู้นำเผ่าทุ่งหญ้าซานจิกแห่งนี้เดินทางมาต้อนรับเจ้าสาวของข้าด้วยตัวเองแล้ว ออกมาเถิด...เจ้าสาวของข้า”
เฉียนจิ่นเกอคือคนที่นั่งในรถม้า มุมปากของนางยกยิ้มอย่างเขินอายเมื่อได้ยินประโยคนั้น สำหรับเด็กสาววัยสิบหกปีอย่างเฉียนจิ่นเกอถือว่ามีความอดทนอย่างยิ่งกับการเดินทางบนเส้นทางแสนทรหด อุณหภูมิร้อนหนาวสลับกันทุกวัน แต่ทั้งหมดปลิวหายไปกับสายลม เมื่อเจ้าของเมืองซานจิกเดินทางมาต้อนรับนางด้วยตนเอง ซ้ำยังยอมรับนางให้เป็นเจ้าสาว
การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นครั้งนี้ สำหรับเฉียนจิ่นเกอเป็นเพียงหน้าที่ หาใช่ความรัก แต่เมื่อเฉียนจิ่นเกอเปิดม่านและก้าวลงจากรถม้า พร้อมช้อนตาขึ้นมองเจ้าของเสียงทรงอำนาจ กาหลิมซาฮิน กุนย่าห์ ชายผู้ซึ่งมีอายุสามสิบสี่ปี อายุแม้มากกว่านางถึงสิบแปดปี แต่ดูจากผิวพรรณและหน้าตาของเขา ตัวเลขนั้นราวกับไม่ใช่ความจริง
“เรียกเราว่าซาฮิน” ซาฮินพูดพร้อมยื่นมืออกมาทางเฉียนจิ่นเกอ ค้างไว้เช่นนั้นเพื่อรอให้นางตอบรับ
“เพคะ ซาฮิน” เฉียนจิ่นเกอตอบรับเจตจำนงของเขา
เมื่อนางรวบรวมความกล้าได้แล้วก็ยื่นมือวางบนฝ่ามือใหญ่ของซาฮิน เขาดึงนางเข้าไปในอ้อมกอดต่อหน้าธารกำนัล ใช้หลังมือลูบบนแก้มนวลเนียนจนนางหน้าแดง ราวกับยังไม่หนำใจพอ เขาอุ้มนางขึ้น และเดินไปทางม้าตัวพ่วงพีของเขา ก่อนจะพานางขึ้นหลังม้าตัวเดียวกัน
ซาฮินพานางควบทะยานชมทุ่งหญ้า และสัตว์เลี้ยงในอาณาเขตที่เขาเป็นผู้ครอบครอง
ความกว้างใหญ่ของเมืองซานจิกสุดลูกหูลูกตานางเหลือเกิน ทุ่งหญ้าของเมืองซานจิกสวยงาม แต่นั่นยังไม่เท่ากับดวงตาสีเข้มดุจรัตติกาลของซาฮินยามมองนาง
ซาฮินหยุดม้า และชี้ไปเบื้องหน้า กระซิบบอกเด็กสาวที่ข้างหู
“นั่นคือทุ่งหญ้าของข้า ประชากรและฝูงสัตว์ ทั้งหมดเป็นของข้า รวมทั้งตัวเจ้าก็เป็นของข้า”
ท้ายประโยคเสียงของซาฮินอบอุ่นจนนางก้มหน้าเขินอาย ไม่กล้ามองสบตาเขาอีก
เฉียนจิ่นเกอคิดว่าเมืองซานจิกสามารถเป็นบ้านของนางได้ หากซาฮินแบ่งใจที่มีต่อชายาเอกและภรรยาสองของเขามาให้นางบ้าง และแน่นอนว่า นางได้ตามความประสงค์นั้น ในสาสน์สู่ขอเจ้าสาวที่ถูกส่งมาถึงเมืองเฉียนเหยาระบุว่าเฉียนจิ่นเกอจะถูกแต่งตั้งเป็นภรรยาคนที่
สอง...ทั้งที่ควรเป็นภรรยาคนที่สามแท้ๆ ทว่า เขากลับมอบตำแหน่งอันพิเศษนั้นมาให้
และเพราะความไร้เดียงสาและไม่คิดอะไรมาก เฉียนจิ่นเกอยิ้มรับตำแหน่งนั้น ทันใดนั้น ซาฮินก็เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“โนฮา!”
เฉียนจิ่นเกองุนงงกับน้ำเสียงของเขาและคำเรียกนั้น นางไม่เข้าใจความหมาย อดใจไม่อยู่ต้องเอี้ยวหน้ากลับไปมองซาฮินอีกครั้ง ขณะที่มือแข็งแรงของเขาโอบกอดนางจากด้านหลังค่อยๆ รัดนางแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขากำลังทำให้นางเจ็บและหายใจไม่ออก
“ซาฮิน อย่า...”
นางวิงวอน พร้อมกับร่างกายที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเหมือนเป็นหญิงสาวมากขึ้น ชุดบนตัวและใบหน้าเบลอจนมองเห็นไม่ชัด
ซาฮินก้มมองหญิงสาว รอยยิ้มหายไป ใบหน้าบึ้งตึงขณะเน้นคำพูดว่า
“ข้าเกลียดเจ้า!”
ไม่เพียงหัวใจของนางราวกับถูกกระแทกด้วยหิน ดวงตาและใบหน้าสวยหวานนั้นยังเปลี่ยนเป็นทุกข์ระทมสุดแสน ไม่นานนัก อาจจะเพียงชั่วพริบตา ใบหน้าพร่าเลือนนั้นกลายเป็นใบหน้าของไรรีย์
ไรรีย์ส่ายหน้า ปิดหูและกรีดร้อง...