บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

ท่าอากาศยานอุรุมซี ประเทศจีน

ไรรีย์เดินไปขึ้นรถจี๊ปที่จอดรอหลังจากส่งกระเป๋าเดินทางให้กับพนักงานของโรงแรมที่ขับรถมารับ

เดิมที หญิงสาวสับสนเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ ใช้เวลาค้นหาในอินเทอร์เน็ตถึงสามวันถึงตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินได้...

ไรรีย์จำได้ว่าในฝันเธอเห็นทะเลทราย กระโจมที่เหมือนของชาวมองโกเลีย และสังเกตจากภาษาที่พวกเขาใช้สื่อสาร ชื่อ รวมถึงสิ่งรอบตัว ในที่สุดเธอก็ค้นพบว่าทั้งหมดนั้นคือประเทศจีน

ไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือไม่ ในอินเทอร์เน็ต เธอพบโฆษณาทัวร์ ‘ย้อนรอยเส้นทางสายไหม’ เมื่อเธอเห็นภาพทะเลทราย ทุ่งหญ้า ทะเลสาบ รวมถึงกระโจมลักษณะโบราณแบบเดียวกับในความฝัน ไรรีย์สัมผัสได้จากความรู้สึกเหมือนกับว่าผืนทรายและทุ่งหญ้าของที่นั่นส่งเสียงเรียกให้เธอก้าวเข้าไปหา

เหตุนี้เอง การเดินทางมาซินเจียงอาจตรงกับความฝันของเธอที่สุดแล้วก็เป็นได้

เมื่อมาถึงท่าอากาศยานอุรุมซี ไกด์สาวพาลูกทัวร์นั่งรถจี๊ปซึ่งนั่งได้ไม่เกินห้าคนต่อคันมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองทูร์ฟานผ่านทะเลทรายแสนอบอ้าว ไรรีย์ซึ่งโตในเมืองเขตหนาวอย่างแมนฮัตตันจึงต้องพยายามอดทนกับความร้อนมากกว่าเพื่อนร่วมทัวร์ หันความสนใจให้กับการถ่ายภาพทิวทัศน์รอบตัว

ลมร้อนปะทะใบหน้ายามรถวิ่ง และไอร้อนระอุนี้กำลังทำให้เธอเคลิ้มหลับมากกว่าอยากยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเสียอีก

เปลือกตาของไรรีย์เพิ่งปิด เธอก็ได้ยินเสียง

“ไปซะ!”

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก มองซ้ายขวา และมองเพื่อนร่วมทัวร์ แต่ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขามองเธอคล้ายตั้งคำถามทำนองว่า ‘ให้ฉันช่วยอะไรคุณไหม’ หรือ ‘คุณเป็นอะไรหรือเปล่า’

ไรรีย์ยักไหล่ และส่ายหน้ายิ้มๆ เป็นคำพูดไร้เสียงว่า ‘ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณ’ ก่อนยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ พร้อมทอดสายตามองทะเลทรายทากลามากันแก้เขิน ทว่าสมองกลับคิดว่าเสียงเมื่อกี้...เป็นเสียงของผู้ชายในความฝันของเธอไม่ผิดแน่

ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงรถจี๊ปก็มาจอดในหมู่บ้านทูร์ฟานซึ่งเป็นสถานที่เช่ารถเทียมลามุ่งหน้าไปชมเมืองโบราณเกาชางต่อ

เดินทางอีกเพียงเจ็ดถึงแปดนาทีเท่านั้น กลุ่มทัวร์ก็มาถึงโบราณสถานชื่อว่าเกาชาง

ไรรีย์และเพื่อนร่วมทัวร์ลงจากรถเทียมลา เดินเที่ยวชมสถานซากประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลืออยู่บริเวณส่วนนอก พร้อมฟังไกด์สาวอธิบายความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ด้วยภาษาอังกฤษ

“ทุกคนคะ เมืองโบราณเกาชางหรือคาราโคจาซึ่งมาจากภาษาอุยกูร์แปลว่าเมืองแห่งกษัตริย์...เมืองโบราณแห่งนี้สันนิษฐานว่ามีอายุยืนยาวมากว่าสองพันปี หรืออาจเทียบได้ในยุคฮั่นตะวันตกนะคะ เมืองนี้แบ่งเขตออกตามชั้น...ทางนั้นคือเมืองชั้นเอก...”

พูดถึงตรงนี้ ไกด์สาวชี้ให้เราทุกคนมองตาม กำแพงหินสร้างขึ้นด้วยความสูงและหนา แบ่งออกเป็นชั้นและตามลำดับ แสดงความน่าทึ่งสำหรับคนในยุคอดีตที่เครื่องมือในการก่อสร้างไม่ถือว่าครบ จากนั้นไกด์สาวยกมือลง ทำให้ลูกทัวร์ดึงสายตากลับมองเขตใกล้ๆ กับที่ตนเองยืนอยู่

“ส่วนตรงนี้นะคะ คือกำแพงเมืองชั้นนอก สังเกตจากซากหินตรงนี้จะคล้ายว่าเป็นกำแพงสูง หลายตำรากล่าวว่ากษัตริย์เมืองเกาชางเคร่งครัดเรื่องศาสนามาก...”

ไรรีย์มองตามนิ้วมือไกด์สาวที่ชี้ออกไป และดึงกลับมา ระหว่างนั้น เธอยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ โดยหาองค์ประกอบและแสงที่สวยงาม...เธอยังไม่ได้ก้าวไปไหน ยังยืนอยู่รอบนอกของกำแพงเมืองโบราณ

ระหว่างกำลังเดินชื่นชมสถานที่โบราณและฟังไกด์สาวแนะนำเมืองชั้นนอกชั้นในต่อ ไรรีย์ได้ยินเสียงตวาดก้องจนเธอต้องยกมือขึ้นมาปิดหู

“หญิงสมควรตาย อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก!”

อา เสียงนี้อีกแล้ว?

เสียงของผู้ชายที่เข้ามาอยู่ในฝันของเธอเกือบทุกคืนนั่น วันนี้เธอได้ยินถึงสองครั้ง เช่นนั้นเขาก็อยู่แถวๆ นี้สินะ

ไรรีย์พยายามตั้งสติและหันมองรอบตัวเพื่อหาต้นตอของเสียง ทว่าเสียงนั้นราวกับดังมาจากทุกทิศทางจากซากปรักหักพังของหินที่มีอายุหลายพันปี

‘อยู่ไหน...คุณอยู่ที่ไหน’ ไรรีย์ตะโกนร้องถามในใจ

“ข้าเกลียดเจ้า!”

“ไม่ อย่า...ได้โปรด” ไรรีย์ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงร้องออกมาเช่นนั้น บางทีเธอกำลังหวาดกลัวว่าเขาจะหายไปก่อนที่เธอจะได้ค้บหาความจริงก็เป็นได้

“ข้าขอเนรเทศเจ้า ไปซะ!”

สิ้นคำตวาดนั้น ภาพเบื้องหน้าของไรรีย์เริ่มเปลี่ยนไป ตอนแรกพร่าเลือน ต่อมา เมืองเกาชางและซากกำแพงดินเหนียวก็หายไปจากแนวสายตา จากนั้น ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นเมื่อรอบตัวของเธอเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างไร้ขอบเขต

เป็นไปได้อย่างไร!

ไรรีย์ผวามองซ้ายขวา และแทบหมุนรอบตัวเอง เธอก้มตัวลงใช้มือข้างหนึ่งตักเม็ดทรายละเอียดขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ฝัน เม็ดทรายร้อนตามอากาศที่ร้อนจัด

ด้วยความตกใจผสมความหวาดกลัว ไรรีย์ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ แต่...

“ไม่มีสัญญาณ บ้าจริง!” เธอบ่น พร้อมกับเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงดังเดิม แล้วเริ่มเดินหาผู้คนเผื่อว่าตนอาจเดินพลัดหลงออกมาได้ไม่ไกล

บางครั้งเธอหลับตาและเปิดเปลือกตาขึ้นทำเหมือนว่าตนอาจฝัน แต่เธอคิดผิด ตอนเธอลืมตาขึ้นมาเธอยังอยู่กลางทะเลทราย ไม่เจอโอเอซิสหรือบ้านคน ที่สำคัญ...ตอนนี้ เธอเริ่มคอแห้งจากอาการกระหายน้ำ

ทะเลทรายทากลามากันร้อนระอุเหมือนจะละลายทุกสิ่งด้วยเปลวแดด ไรรีย์รู้สึกว่าผิวตนเริ่มแสบร้อนเหมือนจะไหม้ เธอแสบร้อนไปทั้งตัว ลำคอก็แห้งผาก และเปลวแดดกำลังฆ่าเธอให้ตายอย่างช้าๆ

...มันโหดร้ายเกินไปสำหรับการตายบนผืนทราย

หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอบ่อยขึ้น จากนั้นตะโกนขอความช่วยเหลือ

“เฮ้...มีใครอยู่แถวนี้ไหม ฉันหลงทาง ช่วยฉันด้วย”

เงียบ...

มองไปทางไหนเห็นเพียงเปลวแดดและทะเลทราย

แต่ไรรีย์กัดฟันเดินหาโอเอซิส ทั้งตะโกนหาผู้คนซ้ำไปซ้ำมาต่อไม่หยุด กลางทะเลตอนนี้มีเพียงตัวเธอกับกล้องถ่ายรูปเท่านั้น อีกอย่างไม่มีใครออกตามหาเธอเลยสักคน

ไรรีย์แอบหวังใจว่าอย่างน้อยหากไกด์รู้ว่าเธอผลัดหลงกับทัวร์ พวกเขาต้องออกตามหาเธอ และเธอต้องมีชีวิตรอดเพื่อกลับแมนฮัตตัน

“ช่วยด้วย!” เธอตะโกนเมื่อมีแรง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพึมพำ “พี่ซีน่า ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยด้วย...”

ไรรีย์ย่ำเท้าช้าลงจนกลายเป็นเดินซวนเซพลางหากลุ่มทัวร์หรือโอเอซิสอะไรก็ได้ที่ทำให้เธอใจชื้นขึ้นมา แต่ผืนทรายเวิ้งว้างมีเพียงไอแดดที่ขึ้นมาจากพื้นผิวเท่านั้น

เธอเดินต่อไปเรื่อยๆ ความรู้สึกอยากร้องไห้เอ่อล้นขึ้นมาในดวงตา ทว่ากลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด อาจเพราะอากาศร้อนแผดเผาน้ำตาจนระเหยหรือเพราะเธอหวาดกลัวจนร้องไห้ไม่ออกกันแน่ แต่ที่รู้ๆ เธอไม่อยากตาย

“...ช่วย...ด้วย”

ตอนนี้ไรรีย์ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะตะโกน ขาของเธอกำลังอ่อนแรง หากยังก้าวต่ออาจซวนเซล้มหน้าคะมำลงบนผืนทรายร้อนระอุ

ตอนนั้นเอง เสียงกีบเท้าม้าและเสียงร้องของม้าดังทั่วทิศทาง...อาจเหมือนดังรอบตัวเธอ ไรรีย์ประคองสติแสนน้อยนิดใช้สายตาพร่าเลือนกวาดมองรอบๆ ตัว และในที่สุดเธอก็เห็น…

มีม้าวิ่งเข้ามาทางเธอด้วยความเร็ว ผู้ชายร่างกำยำคนหนึ่งนั่งบนหลังม้าตัวนั้น เธอมองเห็นเขาไม่ชัดนัก แต่รู้ว่าเขากำลังมุ่งตรงมาทางเธอ พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่เอื้อมออกมาคล้ายต้องการคว้าจับสิ่งของ

“ไม่...อย่านะ!”

สัญชาตญาณของไรรีย์บอกว่าการที่ผู้ชายคนนั้นควบม้าพุ่งตรงมาทางเธอด้วยความเร็วไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เธอต้องหนี ต้องเอาตัวรอด

คิดแล้วเธอก็ก้าวขาเบี่ยงตัวหลบ แต่เธอก้าวถอยออกมาได้เพียงสองสามก้าวเป็นต้องหยุดด้วยอาการหน้ามืด เธอต้องการน้ำดื่ม...บางทีเธออาจไม่มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้น เขาอาจช่วยเธอได้

ไรรีย์หยุดยืนอยู่ที่เดิม ส่วนหนึ่งคือเธอไร้เรี่ยวแรง อีกส่วนคือเธอกำลังรอคอยให้คนบนหลังม้าที่ควบม้าเข้ามาใกล้ไม่ใช่คนเลวร้าย ทว่าม้าพุ่งตรงเข้ามาทางเธอเร็วเกินไป เร็วจนน่ากลัวเลยด้วยซ้ำ!

หญิงสาวเริ่มหวั่น และเผลอหลับตาแน่น

ไรรีย์เพิ่งปิดตาลงได้เพียงอึดใจเท่านั้น มือแข็งแรงก็ฉวยตัวของเธอ กระแสลมวูบวาบดังข้างหูก่อนจะพบว่าเธอขึ้นมานั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับเขา

หญิงสาวลืมตาขึ้นเพื่อมองหน้าของผู้ชายบนหลังม้า แต่ก็ไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนเพราะมีผ้าสีดำปิดคลุมใบหน้าของเขาอยู่ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงมองเห็นเขาไม่ชัดและหวาดกลัวตอนที่เขาพุ่งตรงเข้ามาหาเธอ

ทว่า ไรรีย์รับรู้ได้จากดวงตาสีเข้มดุจรัตติกาลของเขาว่ามีสิ่งหนึ่งที่เธอคุ้นเคย...

เขาอาจเป็นผู้ชายในความฝันหรือไม่ใช่เธอไม่รู้ แต่ตอนนี้หัวของเธอปวดระบมไปหมด สมองก็ขาวโพลน

ไม่นาน ไรรีย์ก็หมดสติบนหลังม้าโดยมีชายหนุ่มประคองตัวเธอไว้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel