

ตอนที่ 3 สบตา
ตอนที่ 3
สบตา
ทางเดินหน้าตึกอธิการบดี
มีร่างของสามสาวในชุดนักศึกษาเรียบร้อยกำลังเดินมาที่ด้านหน้าทางเข้าตึก
“ไม่น่าออกจากห้องสอบคนสุดท้ายเลย” หนูดีบ่นขึ้น และในมือของเธอก็หอบกองเอกสารอยู่เต็มมือเลย
“ใช่ เพราะแกคนเดียวเลยหนูดี แกก็เหมือนกันแก้ม บอกให้ขับรถมา นี่กว่าจะถึง เดินจนขาจะลากแล้วนี่”
ชิงชิงจึงพูดเสริมและโยนความผิดให้หนูดี ที่ออกจากห้องสอบช้า จนทำให้ถูกอาจารย์เรียกใช้ให้ถือเอกสารมาส่งให้ แล้วอาจารย์ที่มาสอนกลับเป็นอาจารย์ที่เป็นกรรมการมหา’ลัย
จึงมีห้องทำงานที่ตีกอธิการบดี ห่างจากคณะเภสัชของพวกเธอไกลมาก แล้วเจ้าแก้มก็ยังบอกให้เดินมาเสียด้วย กว่าจะถึงก็เล่นเอาหอบกันเลยทีเดียว
“เอาน่า ถือว่าออกกำลังกายไง ร่างกายจะได้แข็งแรง” เจ้าแก้มที่ถูกโยนความผิดให้ก็เถียงขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ออกกำลังกายท่ามกลางอากาศ 40 องศานี่นะ?” ชิงชิงและหนูดีจึงหันขวับไปมองหน้าเจ้าแก้มแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ
“ใช่ แฮ่ ๆ” เจ้าแก้มจึงตอบแล้วยิ้มแหยให้เพื่อนสนิททั้งสองทันที
และในขณะที่ทั้งสามคนจะก้าวขาเข้าไปด้านในตึก ก็มีรถขับเข้ามาจอดที่หน้าตึกอย่างเร็ว
เอี๊ยดดดดดดด
เสียงล้อที่เบรกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นหันไปมองทันที
“ใครอ่ะ?” หนูดีหันไปมองรถคันนั้นแล้วพูดขึ้น
“นั่นสิ ทำไมขับเร็วขนาดนั้น” ชิงชิงเองก็บ่นขึ้นเช่นกัน เพราะนี่เป็นเขตมหาวิทยาลัย ไม่ควรขับรถแรงขนาดนั้น
“กรี๊ดดดดดด” แต่แล้วพอทั้งสองเห็นว่าใครเป็นคนลงมาก็หันไปกรี๊ดใส่กันทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าแก้มมองเพื่อนทั้งสองอย่างแตกตื่นปนงงงัน
“พี่โซ่มาแก” แล้วเสียงนักศึกษาที่อยู่บริเวณนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้น
“กรี๊ดดดด หล่อมาก”
“ตบหน้าฉันที นี่ฉันฝันไปใช่ป่ะ?” หนูดีพูดขึ้นและจ้องร่างสูงในชุดช็อปสีเลือดหมูที่เดินมาทางพวกเธออย่างตื่นตะลึง
“ถ้าแกฝัน ฉันก็คงจะฝันด้วย แล้วเราก็คงจะฝันดีมากเลย” ชิงชิงเองก็พูดเสริมโดยไม่ละสายตาจากหนุ่มหล่อเช่นกัน
“ใครเหรอ?” เจ้าแก้มยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์จึงถามขึ้นอีกรอบ
“พี่โซ่ เฮดว้ากสุดโหดของวิศวะ” ชิงชิงจึงหันไปกระซิบบอกเพื่อนสนิท
“เหรอ?” เจ้าแก้มหันไปมองร่างสูงที่เดินมาทางเธอแล้วเป็นจังหวะที่โซ่หันมาสบตากันพอดี
นัยน์ตาดำขลับของโซ่สอดประสานกันกับดวงตากลมโตของเจ้าแก้ม เหมือนมีอะไรดึงดูดให้ทั้งคู่ไม่ละสายตาจากกัน
และสุดท้ายแล้วโซ่ก็เดินผ่านหน้าเจ้าแก้มและเพื่อนไป โดยทิ้งให้เจ้าแก้มได้แต่มองตามหลังเขาไปด้วยใจที่เต้นแรงแทบจะทะลุออกมา
“แล้วนี่พี่เขามาทำไมที่ตึกอธิการบดีอ่ะ?”
ทางด้านหนูดีและชิงชิง ไม่ได้สังเกตเพื่อนสนิท ทั้งสองหันไปถามกันอย่างงง ๆ
“มีธุระมั้ง”
“งื้อออ คืนนี้ฉันฝันดีละ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ต้องเจอพวกเขาทั้งแก๊ง”
หนูดีทำหน้าเพ้อฝันแล้วพูดขึ้นอย่างเขิน ๆ เพราะปกติคณะเภสัชและวิศวะอยู่ห่างกันมาก ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ เธอเคยเห็นโซ่แค่ไม่กี่ครั้งเอง
“พูดเหมือนจะเจอง่าย ๆ” ชิงชิงจึงกรอกตามองบนและรู้สึกขัดใจว่าทำไมคณะตัวเองไม่ไปตั้งใกล้ ๆ วิศวะกันนะ
“ก็จริง ไปกันเถอะ รีบเอาเอกสารไปส่ง จะได้กลับบ้านกัน” หนูดีพยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็เอ่ยชวนเพื่อนไปทำธุระให้เสร็จ
“อื้ม ไปแก้ม”
ชิงชิงหันไปพูดกับเจ้าแก้มที่ยืนเหม่ออยู่ เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทยืนนิ่งไม่หือไม่อือ ชิงชิงและหนูดีก็หันมามองหน้ากันงง ๆ
“แก้ม” หนูดีเอื้อมมือไปสะกิดแต่เจ้าแก้มก็ยังไม่รู้สึกตัว
“เจ้าแก้ม!!” จนชิงชิงต้องพูดเรียกเสียงดังขึ้น
“ฮะ ฮะ” ทำให้เจ้าแก้มรู้สึกตัว
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” หนูดีมองท่าทางแปลก ๆ ของเพื่อนแล้วถามขึ้น
“ปะ เปล่า เราแค่เหม่อน่ะ” เจ้าแก้มยกมือขึ้นมาจับหัวใจของตนเองที่จอนนี้ก็ยังไม่หยุดเต้นแล้วปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไร
“ปะ ไปกันเถอะ” จากนั้นก็เอ่ยชวนเพื่อนทั้งสองไปส่งเอกสารให้อาจารย์ แต่ทิศทางที่เธอเดินไปกลับไม่ใช่ด้านในตึก
“เดี๋ยว! ทางนี้” ชิงชิงคว้ามือไปจับแขนเจ้าแก้มที่กำลังจะเดินออกไปทางด้านหน้าไว้
“อ้าว เราหลงน่ะ ไปกัน ๆ” เจ้าแก้มจึงหายเอ๋อแล้วก็เดินนำเพื่อนไปในตึกทันที
“อะไรวะ?” ทิ้งให้หนูดีและชิงชิง หันมามองหน้ากันงง ๆ
“ไม่รู้” ชิงชิงส่ายหน้าแล้วก็เดินตามหลังเจ้าแก้มไป
โซ่เดินขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นของผู้บริหาร เขาเดินไปที่หน้าห้องของอธิการบดีแล้วเอ่ยถามเลขาวัยกลางคนที่นั่งอยู่หน้าห้อง
“ท่านอยู่ไหมครับ?”
“อยู่ ให้เรียนท่านไหมคะ?” เลขาที่รู้ว่าโซ่เป็นใครจึงเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องครับ” โซ่ส่ายหน้าปฏิเสธแล้วเดินไปเคาะประตูเอง
ก๊อก ๆ ๆ “เข้ามา” เมื่อได้รับอนุญาตจากคนด้านใน เขาก็เปิดประตูเข้าไปทันที
“อ้าวโซ่”
ชลธีร์ อธิการบดีของมหาวิทยาลัย M ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานหันมามอง เมื่อเห็นว่าใครมาหาก็เอ่ยทักอย่างเป็นกันเอง ความสัมพันธ์ของโซ่กับเขาคืออากับหลาน เพราะเขาคือสามีของอาแท้ ๆ ของโซ่นั่นเอง
“อาชลสวัสดีครับ” โซ่ยกมือไหว้อาเขยของตนเองอย่างนอบน้อม
“หวัดดี ๆ มานั่ง ๆ”ชลธีร์พยักหน้าแล้วพูดขึ้น
“มีอะไรมาหาอาถึงนี่” เมื่อโซ่นั่งลงตรงข้ามเขาแล้ว เขาก็ถามขึ้นทันที เพราะว่าปกติแล้ว หลานของภรรยาคนนี้จะไม่ค่อยมาปรากฏตัวใกล้เขานัก เนื่องจากกลัวคนว่าตัวเองเป็นเด็กเส้น และไม่อยากให้ผู้บริหารคนอื่นมองเขาไม่ดี
โซ่ไม่ตอบ แต่วางเอกสารในมือของตนไว้บนโต๊ะแล้วเลื่อนไปด้านหน้าอาเขยของตนเอง
“นี่อะไร?” ชลธีร์ถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“งบประมาณการรับน้องของคณะผม” โซ่จึงตอบกลับด้วยใบหน้านิ่ง ๆ
“หื้ม?” คำตอบบองโซ่ทำให้ชลธีร์ขมวดคิ้วงุนแล้วรีบหยิบเอกสารขึ้นเปิดดูทันที
“อาไม่ให้งบไปเท่านี้” และก็อย่างที่เขาคิดว่าเอกสารชุดนี้ต้องมีปัญหา ไม่อย่างนั้นหลายภรรยาไม่มาหาเขาแบบเร่งด่วนแบบนี้แน่นอนเมื่อได้อ่านแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นพูดกับโซ่ทันที
“ผมรู้ครับ” โซ่พยักหน้ารับรู้ เพราะอาเขยเขาไม่มีทางให้งบแต่ละคณะแค่นี้แน่นอน
“คงต้องเข้มงวดกว่านี้สินะ” ชลธีร์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับโซ่ รับปากว่าจะจัดการให้
“เดี๋ยวอาจัดการให้”
“ขอบคุณครับ”
โซ่ยกไหว้ขอบคุณอาเขยของตน ชลธีร์เรียกเลขาเข้ามาสั่งงาน
“อาสิต้องขอบใจโซ่ ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้” เมื่อเลขาของเขาเดินออกไปแล้ว ชลธีร์หันมาขอบคุณหลานชายที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้
“ครับ”
“ผมขอตัวนะครับ” โซ่พยักหน้ารับแล้วเอ่ยขอตัวกลับทันที
โซ่เข้าลิฟต์มาแล้วกดลงชั้นหนึ่ง เมื่อเดินออกมาก็เจอเข้ากับอาจารย์คณะเขาพอดี
“ศิรวิทย์!” อาจารย์ที่รับผิดชอบการรับน้องรีบวิ่งเข้ามาหาโซ่ทันที
“นะ นี่นายขึ้นไปห้องท่านมาแล้วเหรอ?” เขาเอ่ยถามขึ้นเสียงสั่น เหงื่อแตกพลั่ก ๆ ด้วยความกลัว
“ครับ” โซ่พยักหน้านิ่ง ๆ
“นะ นาย” นั่นทำให้อาจารย์รู้สึกว่าฟ้าถล่มลงมาใส่เขาเต็ม ๆ
“ขอตัวนะครับ อาจารย์รออยู่นี่ก็ได้ เดี๋ยวท่านก็เรียกหาแล้ว”
โซ่ไม่สนใจสีหน้าซีด ๆ และท่าทางสั่นกลัวของอาจารย์ เขาเอ่ยขอตัวแล้วก็เตือนอาจารย์ไปด้วย พอโซ่เดินออกมา อาจารย์ก็ทรุดลงนั่งกับพื้นทันที
ในระหว่างที่เขากำลังจะเดินผ่านทางขึ้นบันได ก็มีร่างเล็ก ๆ โผล่ออกมาชนเข้ากับเขาเสียก่อน
“อ๊ะ” เจ้าแก้มร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ขอโทษค่ะ” และหันไปก้มหัวให้คนที่เธอวิ่งพรวดพราดมาชนทันที
“เจ้าแก้ม!” ชิงชิงเห็นว่าคนที่เพื่อนเดินชนเป็นใครก็ตกใจรีบเดินเข้ามาหาแล้วขอโทษแทนเจ้าแก้มทันที
“ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะ”
“เจ้าแก้ม ไป” จากนั้นก็หันไปลากเพื่อนออกไปจากตรงนี้
“ดะ เดี๋ยว ขอโทษอีกครั้งนะคะ” แต่เจ้าแก้มขืนตัวเองไว้แล้วหันไปเอ่ยขอโทษอีกครั้ง
เมื่อทั้งสามเดินออกไปแล้ว โซ่ก็กระตุกยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ ภาพที่ปรากฏขึ้นให้หัวคือสีหน้าเอ๋อ ๆ ของเจ้าแก้ม ดวงตากลมโต และแก้มป่อง ๆ นั่นมันติดอยู่ในหัวเขาไม่ยอมหายไปเสียที
