ตอนที่ 5 บทลงโทษ
ตอนที่ 5 บทลงโทษ
ตื่นเช้ามาสมองของทั้งคู่ก็โล่งปลอดโปร่ง สองสาวนั่งอยู่ในชุดนอน กำลังหันหน้าเข้าหากันและเริ่มพูดคุยปรึกษากันอย่างออกรส เพื่อเตรียมการรับมือกับ “คุณนายสมพร” ถึงแพ้จะถูกลงโทษ แต่อย่างน้อยก็พากันคาดการณ์กันคร่าว ๆ ว่าแม่สมพรจะมาไม้ไหน? เล่นลูกไม้อะไร?
เอื้อยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “นี่…บ้านของแกน่ะรู้เรื่องหมดแล้ว แถมเตรียมโทษไว้แล้วด้วย แต่บ้านของฉันนี่สิ จะทำยังไงดี?” หล่อนพยายามถางตาขึ้น เนื่องจากเมื่อวาน “กลับดึก” สมกับที่ “พี่ใหม่ เจริญปุระ” ได้เปิดการแสดงสดใน “เธค” เมื่อคืนจริง ๆ
หมอนตอบกลับทันทีว่า “จะไปคิดอะไรมาก…อย่างมากพวกแม่ ๆ ของเรา เขาก็เอาไม่ถึงตายหรอกน่า! แต่ก็คงหาวิธีลงโทษแบบอื่นแหละ!”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืน “ว่าแต่แผนของฉัน มันก็ใช้ได้ใช่มั้ยล่ะ? ก็นะมันสมองระดับยัยหมอนคนนี้นี่นะ!” เธออดไม่ได้ที่จะยกหางตัวเองเล็กน้อย
พอพูดมาถึงตรงนี้ สมรเริ่มยกยิ้ม พูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ ในแผนการรับมือของเธอ เพราะว่ารู้จุดที่ควรจะต้องกังวล และรับมือกับพวกพ่อแม่ จึงพยายามคิดหา “ดักไว้ทุกทาง” เธอเท้าคาง ส่วนขาก็แกว่งไปมาบนอยู่บนเตียงนอน ขณะที่กำลังสาธยายความเจ้าเล่ห์ให้เพื่อนฟัง!
“แหม…แม่คนเจ้าเล่ห์ แต่หล่อนลืมอะไรไปหรือเปล่าจ๊ะแม่คุณ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเองก็ออกแรงคิดแผน มีหรือจะออกมาดีขนาดนี้” เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ดังขึ้นจากฝ่ายของเอื้อย
สองหญิงสาวพากันหัวเราะคิกคักกันอยู่ในห้องนานสองนาน
…
ในขณะเดียวกันที่ด้านล่างบนโต๊ะกินข้าว…
ทางด้านคุณนายสมพร ก็กำลังคิดหาวิธีจัดการ…กับยัยลูกสาวเจ้าแผนการของเธออยู่ เพราะเมื่อคืนเพียงแค่เธอเปรยตามองดูก็รู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว “ว่าอะไรเป็นอะไร” ยัยเด็กแสบทั้งสองคนกำลังคิดทำอะไรกันอยู่!?
ดังนั้นตั้งแต่ “รุ่งส่าง” เธอก็รีบลุกขึ้นมา เขียนร่างแผนการ…บทลงโทษยาวเหยียดเป็นที่เรียบร้อย แถมยังนับปฏิทินสอบเอ็นทรานซ์ ต่าง ๆ มาเปรียบเทียบด้วย!
“ในสมุดเล่มนี้…เขียนถึงแผนการ ที่กำลังจะกำหนดชะตาชีวิตสาวสวยทั้งสองคนไว้!”
แน่นอนว่าเธอยังไม่ลืมโทรศัพท์ไปปรึกษากับที่บ้านของเอื้อยด้วย เพราะยัยสองสาวตัวแสบไปไหนไปกัน และถึงไหนถึงกัน
หลังได้เสียงวางปากกา สมพรก็กวาดสายตามองดูสมุดที่เขียนไล่แผนงานออกมาอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นเธอก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อเห็นแผนงานเป็นรูปเป็นร่าง…
เสียงพึมพำกับตัวเองของ “คุณนายสมพร” ปรากฏขึ้น มาพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย
“ยัยหมอนเอ๋ย ยัยหมอน! แม่แกคนนี้เลี้ยงดูมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย เสี้ยมสอนฟูมฟักมาเองกับมือ…ฮึฮึ! กระดูกมันคนละเบอร์กันจ๊ะยัยหนู!” ริมฝีปากของเธอตวัดโค้ง มองดูไปก็คล้ายกับลูกสาวตน “แต่ทว่ามันกลับเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเด็กสาวมาก!”
…
ตัดฉากมาที่สองสาว ซึ่งแต่งตัวเตรียมลงกินข้าว และพร้อมกันนั้นก็เริ่มตีหน้าเศร้า… ตอนนี้เธอไม่กล้าทำหน้ารื่นเริงมากนัก “เพราะโทษทัณฑ์ยังไม่ได้ประกาศออกมา!”
“การห้ำหั่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสองแม่ลูกก็ได้เริ่มต้น แต่สมรหารู้ไม่ว่า ตัวเธอก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือของคุณนายสมพรเท่านั้น!”
บนโต๊ะอาหารเช้าที่นั่งเรียงกันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่บ้านสองคนที่ทำกับข้าวไว้หลายอย่าง ตามแบบฉบับของบ้านคนมีสตางค์
คราวนี้ ท่านส.ส.เสมอ ได้กลับมานั่งหัวโต๊ะ เหมือนเช่นเคย หลังจากเมื่อคืนถูกเฉกหัวออกไปนั่งด้านข้าง ทำได้เป็นเพียงกรรมการข้างสนาม
ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหาร ไม่ได้ดูเคร่งเครียดหรือกดดันอะไรมากขนาดนั้น
เพราะเวลาที่ได้ยินเสียงของผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์ เสมอก็มักจะชักชวนคุยกับคนในครอบครัว เรื่องพวกนู้นเรื่องพวกนี้เป็นประจำ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับข่าวสารบ้านเมือง!
ด้วยมีอาชีพเป็น “นักการเมือง” มีหรือจะปล่อยให้คนในบ้านตน ไม่รู้เหตุบ้านการเมือง ว่าเป็นเช่นไร? …อย่างน้อยเวลาเพื่อน ๆ ของคนในบ้าน มาถามไถ่จะได้ตอบถูก ไม่ใช่ตอบ “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้…” อย่างเดียว
เสมอพอพูดพร่ำเสร็จ วันนี้เขามีคิวนัดหมายกับผู้ใหญ่ในพรรค ก่อนที่กำลังจะออกจากบ้าน ก็คิดได้ว่าก็ควรพูดเตือนสติสักเล็กน้อย เขาจึงหันมาปั้นหน้าดุใส่…สองสาวจอมก่อเรื่อง
เพราะเมื่อตอนเช้า ตื่นมาคุณนายสมพรก็ได้บอกบทลงโทษไว้เสร็จแล้ว เขาจึงรู้ได้เลยว่า “งานเข้ายัยหนูสองคนนี้เป็นแน่แล้ว!”
เสมอพูดขึ้น “หนูเอื้อยพ่อกับแม่ของหนูบอกว่าให้อยู่บ้านของลุงไปก่อนนะ และเตรียมรอรับบทลงโทษของ ‘คนหนีเที่ยว’ แบบเดียวกันจากป้าสมพรแกได้เลย” ขณะที่เขาพูดไปมือยังไม่ลืมจับไหล่ศรีภรรยาผู้เป็นที่รัก “ดังนั้นเราสองคน วันนี้ต้องอยู่บ้านแต่โดยดี!”
สองสามีภรรยาย่อมรู้ใจกันดี ที่เสมอเอามือมาแตะไหล่ก็เพื่อเตือนอ้อมว่า “เบา ๆ มือให้หน่อยนะ”
ทว่าคุณนายสมพร ผู้เป็นดั่ง “ราชสีห์ประจำบ้าน” ก็มองค้อนใส่สามีสุดที่รัก ทำเอาเจ้าตัวได้แต่ยิ้มเจื่อนเดินออกจากบ้านไป พร้อมโบกมือลาสองสาวเป็นเชิงว่า “โชคดีนะเด็ก ๆ”
พวกแม่บ้านเริ่มเก็บจานข้าว สำรับอาหารออกไปเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงเวลาตัดสินชะตาชีวิตสองสาว มาดของคุณนายอย่างกับผู้พิพากษาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ เพียงถ้อยคำ วจีเดียวอาจทำให้เด็ก ๆ ที่กำลังทำหน้ามุ่ยอยู่เผชิญกับความลำบากยากเข็ญ… ตอนนี้เธอขาดแค่ค้อนไว้ทุบโต๊ะเท่านั้น!
“เอาล่ะ…เลิกเสแสร้งได้แล้ว ยัยตัวแสบทั้งสอง!” เธอเอ็ดขึ้นเมื่อเห็นสองสาวพากันตีหน้าเศร้า ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ฟังให้ดีนะจากนี้ไป นี่คือแผนการเรียน ทั้งหมดของเราทั้งคู่!” คุณนายสมพรยื่น “แฟ้มชะตาชีวิต” ให้ทั้งสองดู
โดยมีตารางงานยาวเหยียด กระทั่งวันหยุดพักผ่อนยังต้องไปทำงานช่วยแม่… เช้ามีคนไปส่ง เย็นมีคนไปรับไม่มีวันว่างเลย ทั้งสองกวาดสายตามองบนแผนกระดาษ ซึ่งขีดลากยาวไปจนถึงการสอบเอ็นทรานซ์ และต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน!
…
หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่…สองสาวสุดแสบออกจากบ้านไปท่องราตรี
ทั้งคู่ก็มายืนอยู่หน้าตึกใหม่เอี่ยม… ที่พึ่งจะทาสีเสร็จไปมาด ๆ เป็นสถาบันสอนกวดวิชาชื่อดังประจำจังหวัด ซึ่งเด็กนักเรียนมัธยมละแวกนี้ต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี นั่นก็คือ “โรงเรียนกวดวิชาทันใจวิทยา”
ส่วนเพจเจอร์ของสองสาว ก็ถูกยึดไปหนึ่งอาทิตย์แล้ว ทำให้ทั้งสองแทบจะลงแดงตาย เสียให้ได้ เพราะไม่ได้พูดคุยกับเพื่อน ๆ เลย “มิหนำซ้ำยังตกไปถึงมือของคุณนายสมพร”
แล้วมีหรือความลับต่าง ๆ ที่เก็บไว้ “ทั้งข้อความของหนุ่ม ๆ ที่ส่งเข้ามาจีบไม่ขาดสาย…จะไม่ปรากฏออกมา?”
เพราะเรื่องนี้ทำเอาทั้งคู่โดนบ่นหูชาไปอีกรอบหนึ่ง…โดนด่าว่าก๋ากั่น เกินงามไปมากนัก
สองสาวพร้อมกันถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนพักหนึ่ง “เอื้อย” ก็ตบไหล่ของเพื่อนสาวก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไปเถอะแก…ช้ากว่านี้เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน จะโดนตัดเงินอีก”
ประเด็นสำคัญยิ่งกว่านั้นที่คุณนายสมพร ใช้เล่นงานหล่อนทั้งสองก็คือ “ถ้าเกิดว่าสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด ในคณะที่กำหนดไว้ จะให้ทำงานทันที และไม่มีให้สอบใหม่ปีหน้าแล้ว!”
พอได้ยินดังนั้น “สองสาวก็สั่นเป็นเจ้าเข้า” ต้องรู้ก่อนว่าทั้งสองเป็นที่นับหน้าถือตาของเพื่อน ๆ ร่วมรุ่น อีกทั้งรุ่นน้องหลากหลายคน “ชื่อเสียงก็เหมือนหน้าตา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเธอก็ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเธอเด็ดขาด มิฉะนั้นคงไม่อายเพื่อนร่วมรุ่น และรุ่นน้องแย่หรอกหรือ? แถมยังตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอีกต่างหาก!”
พอได้ยินประกาศิตของ “คุณนายสมพร” สองสาวก็เสียวสันหลัง เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า
ประเด็นสำคัญคือคณะที่เลือกต้องตรงตามเงื่อนไขคุณนายสมพรเสียนี้ ลำพังเพียงแค่สอบพวกเธอทั้งสองคนมั่นใจอยู่แล้วว่า…มันสมองหัวกะทิระดับพวกเธอมีหรือจะสอบไม่ติด!? แต่ถ้าลงรายละเอียดแบบ “จำเพราะเจาะจงขนาดนี้…มันก็ทำให้ความมั่นใจหายไปครึ่งหนึ่ง!”
คุณนายสมพรคล้ายรู้ทันความคิดเด็ก ๆ จึงบอกว่า “จากนี้ไป…ทั้งคู่จะต้องไปโรงเรียนกวดวิชาทุกวัน” ทางหนึ่งก็ดูคล้ายลำบากใจ แต่อีกทางหนึ่งก็เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
และนี่คือกลยุทธ์อันแยบยลของคุณนายสมพร “ที่เหลือทางรอดไว้…ให้สาว ๆ คอยเดินตามทางที่กำหนดเอาไว้ จะเล่นตุกติกก็ไม่ได้!”
ตอนนี้ในโรงเรียนเพื่อนชั้นปีเดียวกันก็เริ่มปรึกษาหารือกันแล้วว่า “จะเลือกคณะอะไร? เอกอะไรฦ หรือว่าอยากไปลงที่ไหน…เรียนที่ไหน?”
ส่วนบรรยากาศภายในโรงเรียนกวดวิชาก็เริ่มคึกคักไม่ใช่น้อย ด้วยเป็นโรงเรียนกวดวิชาแห่งเดียวย่านตัวเมืองปทุมธานี ทำให้คนแห่แหนกันมาเรียน พร้อมจองคิวกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
…
ขณะเดียวกันนั้นเอง “ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม คิ้วหนาเน้นสะดุดตาเป็นพิเศษ” กำลังยืนหยุดมองหญิงสองคน ที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในโรงเรียนทันใจวิทยา “สายตาของชายหนุ่ม เปล่งประกายคล้ายดั่งคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นในยามค่ำคืน…”
เขาลืมกระทั่ง มือข้างซ้ายกำลังกุมมือของแฟนสาวของตัวเองเอาไว้อยู่ จึงทำให้แฟนสาวอดขมวดคิ้วไม่ได้ ก่อนจะหันมาทำเสียงดุ “จะมองอีกนานมั้ยฮะ…พาที!?”
ท่าทางเธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก… ก่อนจะพยายามแกะมือที่ถูกกุมไว้แน่นออก โดยที่ “พาที” ไม่รู้สึกตัวเลย เขาจึงเผลอบีบมือของแฟนสาวคนปัจจุบันไว้แน่น “จนกระทั่งเห็นสองสาวเดินเข้าไปในโรงเรียน ถึงทำให้สติของเขาก็หลุดออกจากภวังค์…”
ก่อนจะพูดขอโทษขอโพยแฟนสาว ทว่าเธอกลับเดินงอนตุ๊บป่องหนีไปไกล…
พาทีทำท่าทางลังเลสองจิตสองใจ จะเดินตามไปง้อแฟนสาวดี? หรือว่าจะเดินเข้าไปหาแม่ยอดดวงใจอันเป็นจุดหมายในฝันของเขา?
เนื้อเรื่องหลังจากนี้ จะเริ่มเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
สามารถคอมเมนต์ติชมกันเข้ามาได้นะครับ นักเขียนไม่ดุุ! : )
