ยอดหญิงสิงห์พาเลซ | NC 20+

93.0K · ยังไม่จบ
รสเลิศ
40
บท
1.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

【 NC 18+ แซ่บมาก 】 "ยอดหญิงสิง(ห์)พาเลซ" (Queen Bee of The Palace) "ในยุคที่สมัยดิสโก้เธคกำลังเฟื่องฟู บรรดาหนุ่มสาว...ต่างก็พากันแห่แห่นไปเที่ยวตาม 'เธค' ชื่อดังต่าง ๆ" นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของ ชายหนุ่ม-หญิงสาว "ในช่วงยุค 90" ซึ่งที่ได้คลาดจากกัน เพราะเงื่อนไขของ (เวลา!) และกว่าที่พวกเขาจะหวนกลับมาพบกันอีกครั้ง 'ลูกชายของเธอ' ก็โตจนเข้ามัธยมต้นเสียแล้ว... ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นมันจะออกมาเป็นแบบไหน ทนายหนุ่มคนเก่งจะได้ลงเอยกับแม่หม้ายสาวในแบบใด? โปรดติดตามใน "ยอดหญิงสิงห์พาเลซ" การันตีความสนุก...ครบทุกรสชาติ โดย รสเลิศ ปล.เรื่องนี้เป็น 'นิยายภาคแยก' ของเรื่อง "เสือเจ้าพระยา" ซึ่งมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง เพราะว่าได้ใช้ Timeline เส้นเดียวกัน และมีตัวละครร่วมกัน

นิยายรักนิยายปัจจุบันทนายความดาวมหาลัยโรแมนติกนิยายย้อนยุคนักศึกษายุค80มีลูกแฮปปี้เอนดิ้ง

ตอนที่ 1 พยับเมฆที่ปรากฏ

ตอนที่ 1 พยับเมฆที่ปรากฏ

ท่ามกลางฟากฟ้านภากาศ ปรากฏมวลเมฆสีหมึกเข้ม ซึ่งค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยเข้ามาใกล้ พลันขับไล่แสงแดดที่อ่อนแรง ตอนบ่ายแก่ ๆ ออกไป กลับเข้ามาแทนที่ด้วยความมืดมัวของพยับเมฆ

ไม่นานหยาดฝนหยดแรกก็โปรยปรายลงมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันแสนสำคัญของมนุษย์เงินเดือน เพราะมันคือช่วงที่แทบทุกบริษัทเลิกงาน จะก่อนหลังก็ไม่หย่อนไปกว่ากันสักเท่าไร

จึงทำเอาเหล่าผู้คนมากมาย รีบเร่งเพื่อให้พ้นฝนระลอกนี้ หรือบางคนที่ยังไม่มีรถเมล์ผ่านมาก็พากันวิ่งหลบกรูเข้าไปในที่ร่ม จะเป็นร้านค้าข้างทางก็ดี หรือเป็นร้านห้างสรรพสินค้าก็ช่าง ขอเพียงแค่มันกันลมฝนได้นั้นเป็นพอ

“เอื้อย” สาวสวยวัยสามสิบกว่า ๆ เธอได้นัดพบกับเพื่อนเอาไว้พอดี ในห้างใหญ่แห่งหนึ่งที่ทุกคนในจังหวัดนี้…ต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี “ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต”

เธอกำลังขับรถเพื่อต่อแถว รอเข้าห้างอยู่ …ทว่าภายในใจของเธอกลับก็รุ่มร้อนมิใช่น้อย แตกต่างจากบรรยากาศภายนอก ที่เย็นฉ่ำไปด้วยหยาดฝน

สาเหตุเป็นอันเนื่องมาจาก เรื่องราวที่เธอได้ยินได้ฟังผ่านโทรศัพท์ มันทำให้เธอรู้สึกโกรธจนควันแทบจะออกทางหูอยู่รอมร่อ ผสมผสานเข้ากับ “ความขี้สงสัย” อันทุนเดิมของผู้หญิงอยู่แล้ว… ยิ่งทำเอาเธอร้อนรนเข้าไปกันใหญ่

“เอื้อย” หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และโทรบอกกล่าวถึงสถานการณ์ที่ประสบอยู่ตอนนี้ ให้กับเพื่อนรักที่สุดในชีวิตของเธอ รอไม่นานจนเกินไปนักเธอก็ขับรถเข้าไปจอดในห้างได้ จากจึงรีบวิ่งหน้าตั้งเพื่อเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

ยังโชคดีที่ว่า “ด้วยความขี้เผือก” ของเธอสั่นระริก จึงทำให้รีบออกจากบริษัทมาตั้งแต่เนิ่น ๆ มิเช่นนั้น ป่านนี้คงได้ “นั่งแช่” อยู่ในรถนานกว่านี้เป็นแน่!

พอมาถึงหน้าร้านอาหาร “พนักงาน” ก็พูดจาต้อนรับไปตามมารยาท

ก่อนที่ตัวของเธอจะบอกพนักงานว่า “มีโต๊ะแล้ว…นัดเพื่อนไว้แล้ว” พอพูดจบเธอก็เริ่มชะเง้อมองหาเพื่อนสาว สายตากวาดมองไปทั่วทั้งร้านก่อนจะพบเป้าหมาย และรีบเร่งก้าวเดินไปหาเจ้าหล่อน

“ภายในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง” พอก้าวเข้ามาก็พบกับบรรยากาศชิล ๆ มีเสียงเพลงดังคลอเคลีย สลับทั้งไทยทั้งเทศ ดูสบาย ๆ “แตกต่างจากบรรยากาศภายนอก ที่สุดแสนจะวุ่นวายอลหม่าน”

หญิงสาวสวยวัยสามสิบกว่า ๆ บนใบหน้าไร้ซึ่งเครื่องประทินโฉมใด ๆ แต่ว่ามันก็ไม่อาจทำร้ายเธอได้เลย เพราะผิวพรรณของเธอแลดูเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ราวกับว่าหากบีบหรือหยิกที่บริเวณใบหน้าเธอ น้ำคงจะปรากฏออกมาให้เห็นเป็นแน่!” ดูท่าแล้ว ผิวพรรณทุกส่วน คงจะได้รับการบำรุงมาเป็นอย่างดี

เธอกำลังส่วนนั่งเท้า อยู่ในอาการเหม่อลอย บรรยากาศโดยรอบไม่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของเธอ…ในตอนนี้ได้เลย!

เนื่องจากเหตุการณ์ที่ตัวเธอ…พึ่งจะได้ประสบพบเจอมา มันเจ็บปวดไปถึงทรวงจริง ๆ จึงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาสนใจสิ่งอื่นใดมากเท่าไรนัก บนโต๊ะอาหารสั่งเพียงแค่อาหารรองท้องมากินเล็กน้อย รวมไปถึงพวกน้ำผลไม้ปั่น ฯลฯ

หากไม่มีใครเข้ามาทักทาย…เธอมองดูคล้ายหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน

เมื่อเอื้อยเห็นเพื่อนสาวที่มุมหนึ่งติดริมกระจก เห็นบรรยากาศวิวทิวทัศน์ภายนอก ที่คนกำลังเดินสวนกันไปสวนกันมา ในขณะเดียวกันสายตาของเธอจับจ้องไปที่เพื่อนสาวคนสนิท ซึ่งห่อเหี่ยวดูซังกะตาย

เอื้อยจึงจำต้อง “ปั้นหน้ายิ้ม” สาวเท้าเดินเข้าไปสะกิดทักทายเพื่อน พร้อมพูดขึ้นว่า “ยัยหมอน…แกเป็นอย่างไงบ้างเนี่ย!?”

พอได้ยินเสียงอันคุ้นเคย “หมอน” ก็เหลือบมองเพื่อนรักก่อนจะลุกขึ้นสวมกอด “เอื้อย” ด้วยความคิดถึง โดยไม่สนใจคนรอบข้างแม้แต่น้อย “มีเพียงความคิดถึง และคิดถึงเท่านั้น!”

ตัวเอื้อยของเองนั้นก็กอดตอบ พร้อมตบหลังเพื่อนเบา ๆ เป็นการบอกใจ ในระหว่างนี้เธอเองก็คิดหาคำพูดที่อยู่ในหัวมากมาย ซึ่งเตรียมการมา เพื่อพูดปลอบประโลมจิตใจเพื่อนรัก

“นี่แก…ตอนนี้ปล่อยฉันก่อนดีมั้ย? คนมองกันตรึมไปหมดแล้ว” เธอทำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่เป็นการเริ่มต้น

หมอนรับคำว่า “อื้อ!” และเริ่มคายมือที่สวมกอดออก เมื่อมองสภาพเพื่อน ที่เปียกปอนเล็กน้อย ก่อนจะกลั้นหัวเราะเล็กน้อย

อนิจจาเจ้าหล่อนพึ่งจะยิ้มได้ครู่เดียว กลับบ่อน้ำตาก็เกิดแตกขึ้นมาเสียแล้ว มีน้ำตารื้นออกมาจากดวงตาที่หม่นหมองคู่นั้น เป็นน้ำตาที่แฝงไปด้วยอารมณ์ คละเคล้าไปด้วยความคิดถึง และความโศกเศร้า ผสมปนเป

ก่อนจะเอ่ยปากเชิญให้เพื่อนนั่งลง พร้อมกับยกมือเรียกพนักงาน เพื่อเอารายการอาหารมาสั่งเพิ่ม ตัวของ “หมอน” เอ่ยปากบอกว่า “สั่งเต็มที่เลยนะแก…วันนี้ฉันเลี้ยงเอง!”

“อุ๊ย! ปกติแล้ว มันควรเป็นฉันที่เลี้ยงปลอบใจคนอกหักอย่างแกไม่ใช่เหรอ?” เอื้อยพูดสัพยอกขึ้น พร้อมทำท่าทางกวน ๆ เพื่อที่จะคลายอารมณ์ของเพื่อน พยายามดึงเจ้าหล่อนออกจากความหม่นหมอง

โชคดีที่เธอได้เตรียมคำพูดมาไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ได้รับรู้ข่าวจากปากของยัยหมอนว่า "ผัวสุดที่รักของเธอสวมเขาให้เธอมาตลอด มิหนำซ้ำยังทำตัวอย่างกับ ‘คุณหลวงวิสนันท์เดชา’ ในหนัง ‘เรื่องจันดารา’ ซึ่งทำสัปดน…บ้ากามเสียขนาดนั้น!"

กระทั่งตัวเธอเองก็ยังอดแปลกใจไม่ได้เลย เธอจึงจงใจทิ้งช่วงในการสั่งอาหาร เพื่อให้ยัยหมอนเพื่อนรัก ได้ปรับอารมณ์ของตัวเองเสียก่อน

เอื้อยเอ่ยปากถาม เพื่อนสุดแสบประจำห้องตอนมัธยม “ว่าไงคะ คุณ ‘สอ มอ รอ’ สุดสวย อาการดีขึ้นหรือยัง!?”

สาวเจ้าน้ำตาก็แอบยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เพราะนานแล้วที่ไม่มีใครเรียกชื่อเธอแบบนี้ คงเป็นตั้งแต่สมัยช่วงประถม จนถึงเริ่มเข้ามหาลัยเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากชื่อจริงของเธอคือ “สมร”

เวลาที่ครูอ่าน หรือไปทำบัตรที่อำเภอ พวกข้าราชการก็มีอันต้องขมวดคิ้วก่อนทุกครั้งไป ก่อนจะเรียกชื่อเธอ “สม-รอ” เธอก็เคยเจอมาแล้ว แต่ส่วนใหญ่มักจะอ่านผิดเป็น “สอ มอ รอ” ตามด้วยนามสกุล เรียกแบบว่ากันพลาดไว้ก่อน

เธอก็จำต้องมาแก้ตัวทุกครั้งไป มันอ่านว่า “สะ-หมอน ค่ะ” แต่จะไปว่าคนอื่นก็ทำไม่ได้ เธอเองก็ยังปวดหัว…กับพวกชื่อแปลก ๆ ที่ขยันตั้งให้อ่านยากเหมือนกัน

ตัวเอื้อยพยายามที่จะชวนรื้อฟื้นความทรงจำ เมื่อครั้งเยาว์วัย ความทรงจำแต่หนหลังขึ้นมาพูด ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีก่อน

สมรที่นั่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้น “ดีขึ้นมาบ้างแล้วนิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกแบบว่า…เอ่อยังไงดีล่ะ!? มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ค่อยถูกน่ะ” สมรถอนหายใจเฮือกใหญ่

พอได้ยินคำพูดของเพื่อน เอื้อยก็เริ่มนึกในใจ “พึ่งจะเจอเหตุการณ์แบบนั้น มาเมื่อวาน แถมแผลพึ่งสด ๆ ร้อน ๆ จะให้หายดีเลยมันก็คงเป็นไปไม่ได้!”

เอื้อยจึงพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร อธิบายไม่ถูกก็ช่างมันก่อน ปล่อยมันไปหัวโล่ง ๆ เดี๋ยวก็คิดอะไรออกเองแหละ” เธอพยายามดึงเจ้าตัวออกประเด็น แต่เจ้ากรรมหล่อน ยังวกกลับเข้ามาในประเด็นเดิมเสียนี่!

สมรเอ่ยปากพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันน่าจะเชื่อแกตั้งแต่ตอนนั้น…”

แน่นอน…เอื้อยรู้ดีว่าเพื่อนหมายถึงอะไร มันจึงอดไม่ได้ ทำเอาให้ทั้งคู่ย้อนนึกกลับไปถึงอดีต “ในช่วงสมัย ม.ปลาย ก่อนจะเตรียมสอบเอ็นทรานซ์!”

ปีพุทธศักราช 2534

______________

ปล.มาเริ่มเรื่องกันครับ สำหรับใครที่ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

สามารถอ่านไปได้เรื่อย ๆ ก่อนเดี๋ยวจะมีเฉลยทีหลังครับ

รบกวนช่วยคอมเมนต์ + เพิ่มเข้าชั้น เพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ : )