ตอนที่ 4 หมอน…ไม้ขีดไฟ
ตอนที่ 4 หมอน…ไม้ขีดไฟ
♪ “กลับดึกอยู่ก็ลึกในซอยเปลี่ยว โดดเดี่ยว ดึกอย่างนี้ไม่มีผู้คน… เดินเข้าไป หัวใจจะหล่น ถ้าคอยกังวลอยู่อย่างนี้ ทุกทีคงแย่” ♪
ชุดสะท้อนแสงของสมร…ยามเมื่อมีแสงไฟสาดตกมากระทบ “เธอย่อมกลายเป็นที่จับตามองของบรรดาหนุ่ม ๆ ที่กำลังเต้นอยู่บริเวณรอบ “ฟลอร์” ไปโดยปริยาย”
เอื้อยยกมือป้องหูเพื่อน ก่อนจะพูดตะโกนเสียงดัง แข่งกับเสียงเพลงศิลปินกำลังร้องอยู่บนเวที “นี่ยัยหมอน พวกหนุ่มกลุ่มนั้นดูท่าจะเล็งแกไว้อยู่นะ!”
สมรปรายตาไปมองนิดหน่อย ก่อนจะตอบเพื่อนไปว่า “ไม่เอาอะ ไม่ใช่ทาง ฉันว่านะเรามาเต้นกันให้สนุกสุดเหวี่ยงไปเลยดีกว่า!”
ระหว่างที่เต้น ๆ กันอยู่มีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน มาขอเบอร์เพจเจอร์ของเธอไม่ใช่น้อย ส่วนเอื้อยก็เป็นเช่นเดียวกัน ทำให้ตอนนี้ทั้งคู่จะให้เฉพาะคนที่ถูกใจเท่านั้น ไม่ได้ให้มั่วซั่ว มิเช่นนั้นคงรับข้อความไม่หวั่นไม่ไหว
ขณะที่ “พี่ใหม่” ร้องจบเพลง “กลับดึก” นักดนตรีก็เริ่มเล่นเพลง “ควักหัวใจ” ที่ทุกคนพากันร้องตามกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเฉพาะตอนเตรียมกำลังจะเข้า “ท่อนฮุก” ก็พากันยืนเป็นแถว ก่อนจะสามัคคีกันเต้น ปากพากันร้องกันดังลั่นสนั่นร้าน
เดอะพาเลซ หรือเธคอื่น ๆ กลายเป็นแหล่งประชาสัมพันธ์เพลงใหม่ของค่ายเพลงไปโดยปริยาย นอกจากฟังผ่านวิทยุแล้ว เนื่องจากกลุ่มวัยรุ่นที่รวมตัวอยู่ที่แห่งนั้น ๆ นั่นมีมากและเป็นกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด
…
หลังจากได้เวลา “สโลว์ซบ” ซึ่งทาง “ดีเจ” ที่จะเปิดเพลงช้า ๆ เบา ๆ ให้เหล่าบรรดาชายหนุ่มหญิงสาวพากันมาเต้นบนฟลอร์ คลอเคลียกันไปมา มองดูแล้วเป็นที่อิจฉาตาร้อนมิใช่น้อย ช่วงเวลาในจังหวะนี้ …แต่สำหรับเหล่าคนโสด มันกลับกลายเป็นภาพที่บาดตาบาดใจเป็นอย่างยิ่ง!
“คุณหนูหมอน” และ “คุณหนูเอื้อย” สองสาวผู้ก๋ากั่น ก็ได้พากันเดินออกมานอกร้านแล้ว เพราะหากว่าช้ากว่านี้ มีหวังได้เจอพวกสิงห์นักบิดที่พากันมาปิดถนน ในช่วงคืนวันศุกร์ – เสาร์ ซึ่งมักถูกผู้คนเรียกว่า “วิภาวดีเซอร์กิต” เพราะมันไม่ต่างจากสนามแข่งรถเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงรีบหาทางกลับบ้านก่อน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะได้อยู่ยาว…เพราะพวกคนที่มายืนดูก็พาไม่ต่ำกว่าหลักร้อย ยิ่งหลังเที่ยงคืนอาจถึงหลักพันหลังหมื่นก็เป็นไปได้ จึงทำให้ทั้งสองต้องเดินเบียดเสียดกันออกมา
ก่อนจะไปที่จุดนัดพบกับลุงขับแท็กซี่ ในที่ประจำ พวกเธอเคาะกระจกเรียก “ลุงกิต” ที่นอนหลับอยู่บนรถ เพื่อปลุกอีกฝ่าย
“ลุงกิต…ตื่นได้แล้ว” เสียงเคาะกระจกดังขึ้น “ก๊อก ๆ”
ทำเอาคนขับแท็กซี่วัยกลางคนสะดุ้งตื่น ก่อนหันไปมองคุณหนูทั้งสอง “ขึ้นมาเลยครับคุณหนู…” เขาเหลือบมองนาฬิกา “จะว่าไปรักษาเวลาดีเหมือนกันนะเนี่ย!” ลุงกิตเอ่ยปากชม
เอื้อยพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “งั้นรีบกลับบ้านเลยนะลุง เดี๋ยวพ่อกับแม่รู้เรื่องเข้า งานเข้าฉันกับยัยหมอนเป็นแน่!”
“ปัดโถ่! แกจะไปกลัวอะไรนักหนา…ยัยเอื้อย” สมรพูดเหน็บเพื่อน ก่อนจะหยิบเพจเจอร์มาเลื่อนอ่านข้อความ “ที่บรรดาหนุ่ม ๆ พากันส่งมาเพียบ” เธอเลื่อนข้อความอ่านแบบไม่เร่งรีบ
บางคนก็ส่งข้อความมาจีบ ผ่านบทกลอนของ “หนังสือใยไหม” หรือบางคนก็ขอนัดกินข้าว ชวนไปดูหนัง พอเธอเลื่อนข้อความไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ค้างอยู่ที่ข้อความหนึ่ง…เธอเริ่มช็อก ใบหน้าในตอนนี้ซีดเป็นไก่ต้ม
“เฮ้ยแก…วันนี้สนุกดีวะ อาทิตย์หน้าพวกเรามากันอีกดีมั้ย!?” เอื้อย เอ่ยปากถามขึ้น
ทว่าเอื้อยกลับไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ อย่างที่ควรจะเป็น จึงได้แต่มองไปเหลือบมองไปที่เพื่อนรักซึ่งกำลังนั่งหน้าซีด ปากสั่นมือก็สั่นเล็กน้อย หล่อนอุทานเสียงหลง “ฉิบหายแล้วแก!!” เสียงของสมรตะโกนดังลั่น
เล่นทำเอาทั้งสองคนที่อยู่ในรถ พากันตกอกตกใจตามกันไป ส่วนลุงกิตเกือบจะเหยียบเบรกกะทันหันเสียแล้ว
เอื้อยเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ป…เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น!?”
“ม…มะ…แม่ฉันรู้เรื่องแล้ว!” ก่อนจะหยิบเอาข้อความในเพจเจอร์ขึ้นมาให้เธอดู
“หา! แม่แกรู้เรื่องแล้ว? บ…แบบนี้ฉันก็ซวยไปด้วยนะสิ ทำไงดี!?” ทั้งสองสาวเริ่มร้อนรนขึ้นมา และกำลังพยายามหาวิธีแก้ตัว “เพราะข้อความจาก ‘แม่สมพร’ เด้งเข้าเครื่องขึ้นมารั่ว ๆ ยิ่งเป็นข้อความช่วงหลัง…ยิ่งแฝงกลิ่นอายของความเกรี้ยวโกรธไว้!”
…
ระหว่างที่นั่งรถกลับบ้านสองสาวเจ้าแผนการก็ปรึกษาหารือกัน “ถึงวิธีการรับมือ” จนผลสุดท้ายก็ตกลงกันที่ว่า “จะยอมรับสารภาพผิดแต่โดยดี เผื่อจะได้ลดโทษครึ่งหนึ่ง” โดยมีลุงกิตไปด้วยเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ไปคนเดียวด้วย แต่อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่
“เอื้อย” ที่ไม่ว่าดูอย่างไร เรื่องคราวนี้ย่อมต้องถึงหูของครอบครัวเธอโดยปริยาย “เนื่องจากทั้งสองคนสนิทกันเป็นที่สุด…แถมมีพิรุธหายตัวไปพร้อม ๆ กันอีก!”
ลุงกิตคนขับแท็กซี่ก็ถูกสองสาวสุดแสบลากลงน้ำไปด้วยกัน “โดยให้จ่ายเป็นเงินค่าจ้างสามพันบาท” รับบทบาทคนขับแท็กซี่ที่ไว้ใจได้
แน่นอนว่าพอแดงขึ้นมา สองสาวก็ใช้สมองประมวลผลเป็นการด่วน ดูท่าแล้วจะใช้มากยิ่งกว่าตอนทั้งคู่ “สอบกลางภาคเสียอีก”
ไม่นานรถแท็กซี่ของลุงกิตก็มาจอดถึงหน้าบ้าน ทั้งสองคนจับมือกันแน่น ก่อนจะเตรียมใจเข้าไปในบ้าน…
บัดนี้ “ท่านเสมอ ส.ส. ผู้ทรงเกียรติในสภาก็ได้ถูกเรียนเชิญไปนั่งด้านข้าง” ส่วนหัวโต๊ะกลับเป็น “แม่สมพร” ที่สายตาลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง กำลังจิบน้ำชารอลูกสาวคนสวยอยู่…
และพอได้ยินเสียงบีบแตรคนงานในบ้าน ก็จะรีบวิ่งกุลีกุจอวิ่งไปเปิดประตูให้โดยพลัน ซึ่งมีรถแท็กซี่ขับเข้ามาในบ้าน…
จวบจนกระทั่ง ทั้งสองสาวก้าวเท้าเดินลงจากรถ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตา…เดินเข้าไปในห้องโถง เพื่อสารภาพผิด ส่วนตัวของลุงกิตคนขับแท็กซี่ก็ได้แต่เดินตามมาอย่างห่าง ๆ “เพื่อรอคอยการเบิกตัว พยานของฝั่งจำเลย”
ยามเมื่อเข้ามาในห้องโถงทั้งคู่ก็ได้พบกับ บรรยากาศที่คล้ายจะเป็นดั่ง “ห้องพิพากษา” ทั้งแม่บ้าน คนสวน คนขับรถ ต่างก็นั่งหาวกันจนเบื่อหน่าย… รอเพียงการมาถึงของ “คุณหนู” ของพวกตน
“เอื้อย” มาถึงพนมมือไหว้กล่าวสวัสดีทักทายทุกคนในห้อง ซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเธอไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคนในบ้านนี้… หล่อนแวะเวียนมาหาบ่อย จนสนิทและรู้จักกับทุกคนในบ้าน หลังจากที่เธอกล่าวสวัสดีเสร็จ ก็ก้มหน้าก้มตาเหมือนกับเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ด้านข้าง
สมรที่กำลังก้มหน้าตีหน้าเศร้า อันที่จริงเธอก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นจ้องมองแม่ของตนเอง ซึ่งกำลังส่งสายตาพิฆาตมาให้เธอ จนกระทั่งเธอสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต ผ่านบรรยากาศที่เงียบงันในห้อง
“คุณนายสมพร” ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องดูกระอักกระอ่วนขึ้นไปอีก ด้วยการใช้ความเงียบงัน “ซึ่งเป็นแรงกดดัน” ที่มองไม่เห็น
พอสองสาวเริ่มลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ก่อนสมรจะเป็นคนเริ่มเอ่ยปากพูด “พ่อจ๋าแม่จ๋า หนูขอโทษ…หนูแอบไปเที่ยวมา” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่พ่อกับแม่
“แอบไปเที่ยว! อายุเท่านี้ก็ทำเรื่องแบบนี้เสียแล้ว…ฮื้อ! เท่านั้นยังพอว่า แต่กลับแอบไปวางแผนหลอกคนอื่น ๆ ในบ้านด้วย ฉลาดจริง ๆ นักนะลูกฉัน!” เธอกัดฟันพูดเค้นเสียงรอดผ่านไรฟันออกมา
“เปรี้ยง!” เสียงตบโต๊ะดังขึ้น ทำเอาทุกคนสะดุ้งตื่นทั้งบ้าน
สมรก้มหน้าก้มตา ทิ้งช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “หนูรู้ว่าผิดไปแล้ว จึงมาสารภาพผิดโดยดีจ๊ะแม่…”
พอเห็นลูกสาวสุดที่รักทำท่าทางร้องไห้กระซิก ๆ เนื้อตัวสั่น “ดูคล้ายลูกนกตัวน้อย… ซึ่งกลัวเสียงฟ้าร้องที่ดังครืนอยู่บนฟ้า!”
“พ่อเสมอ” ก็ค่อย ๆ ตบทีหลังมือของ “แม่สมพร” เบา ๆ เป็นเชิงว่าให้ทำใจเย็น ๆ เข้าไว้
“งั้นบอกมาสิว่า…แอบไปเที่ยวที่ไหนกันมา?” คุณนายผู้พิพากษาเอ่ยปากถามขึ้น
“เอ่อ…ไปเดอะพาเลซมาจ๊ะแม่” สมรตอบไปตามตรง
เสียงทุบโต๊ะดังขึ้นอีกครา คุณนายสมพรกัดฟันกรอด “นี้ไปไกลถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเกิดว่าถูกฉุดไปข่มขืนขึ้นมาจะทำยังไง ไหนตอบมาสิ! ยัยหมอน ยัยเอื้อย…”
เอื้อยที่ถูกลากเข้าไปในคำถามด้วย ก็ตอบแบบตะกุกตะกักว่า “เอ่อ…คือรถแท็กซี่ที่ขับไปส่งเป็นคนที่คุณป้าคุณลุงรู้จักค่ะ ไว้ใจได้แน่นอน อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง…”
ก่อนคุณนายสมพรจะพยักพเยิดส่งสัญญาณ ให้พาคนขับแท็กซี่รออยู่ด้านนอกเข้ามา… พอเห็นชายวัยกลางคนเดินเข้ามา ท่าทางดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เธอก็ปรายตามอง “พี่กิต! นี้เป็นพี่เองเหรอที่แอบพาลูกสาวฉันหนีเที่ยวฮะ!?”
กิตทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ก่อนจะเกาหัวด้วยความเก้อเขิน และพูดขึ้นว่า “ใช่ครับคุณนาย พอดีผมหลวมตัวโดนคุณหนูหลอกไปรอบแรกน่ะครับ กว่าจะรู้อีกทีก็ได้ครั้งที่สามเห็นจะได้ เลยโดนคุณหนูขู่ไว้ว่า ถ้าความแตก…จะมาบอกคุณนายนี่แหละครับ!”
ก่อนที่ “คุณนายสมพร” จะได้เอ่ยปากพูดอะไร กิตก็ตัดบทพูดต่อว่า “แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพวกคุณหนูเลยนะครับ ทั้งสองอยู่ในสายตาของผมตลอด เพราะผมรู้ดีว่าถ้าเกิดมีเรื่องขึ้น …ผมคงซวยแน่ ๆ มีหวังได้โดนคุณนายเล่นงานยับเป็นแน่!”
ลุงกิตพูดร่ายยาวเหยียด แถมตบอกตัวเอง…ออกหน้ารับประกันถึงความปลอดภัยของสาวสวยทั้งสอง จากนั้นทั้งสองสาวก็คอยพูดเสริมในส่วนที่ตัวเองผิด ไม่เปิดโอกาสให้แม่สมพรถามเสียเท่าไหร่…
เดิมทีแผนการของ “หมอนกับเอื้อย” ก็คือให้ผู้ใหญ่ออกหน้า เพราะเชื่อถือได้มากกว่า…ส่วนตัวของพวกเธอทั้งสองคนก็ยอมรับผิดแต่โดยดีที่แอบหนีเที่ยว แถมพูดเสียงอ่อนยอมให้พ่อกับแม่ลงโทษแต่โดยดี…
ทั้งสองเรียกได้ว่าปิดจุดอ่อนของตัวเอง ซึ่งเป็นจุดสำคัญนั้นคือเรื่องความปลอดภัย โดยโยนไปให้ลุงกิตรับแทนทั้งหมด ส่วนพวกเธอเองก็เอ่ยออกปากพูดสมทบว่า “บีบลุงกิตยังไงให้กลายมาเป็นคนขับรถให้”
คุณนายสมพรมองสองสาว ก่อนจะพูดขึ้นว่า “บทลงโทษของพวกเธอทั้งสองคน รอฟังในวันพรุ่งนี้เช้า…ส่วนวันนี้ให้พอเท่านี้ก่อน ‘หนูเอื้อย’ ก็ไปนอนรวมกับห้อง ‘ยัยหมอน’ ตามปกตินั่นแหละ”
ส่วนพี่กิตเชิญกลับบ้านไปได้แล้ว ประเดี๋ยววันหลัง “เรา” ค่อยหาเวลามาคุยกันใหม่!” สมพรพูดน้ำเสียงเฉียบขาด คล้ายคำประกาศิต ไม่มีที่ให้เจรจาต่อรอง
“ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเช่นนี้ก็กวาดสายตาไปมองสามี รวมถึงไปคนงานในบ้าน” ที่เริ่มงัวเงียอยู่นานแล้ว และใกล้จะหลับกันเต็มที คงจะไม่ดีถ้าอยู่ต่อเช่นนี้…
พอฟังบทสรุปของสองสาวสุดแสบแล้ว เธอก็เตรียมการลงโทษในวันพรุ่งนี้!
คุณนายสมพรเดินไปที่โทรศัพท์บ้าน ก่อนจะต่อสายไปบ้านของเอื้อย และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ครอบครัวของเอื้อยฟังทั้งหมด… “ด้านโน้นก็โกรธควันออกหูพอ ๆ กันเมื่อได้รู้ข่าว!”
…
พอมาถึงห้องนอนทั้งสองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยก็ผ่านพ้นวันนี้ไปได้แล้ว “ด้วยกลยุทธ์…ขายผ้าเอาหน้ารอดได้แล้ว” อย่างน้อยก็ยื้อเวลาตายได้กินวันหนึ่ง!
ทั้งสองที่เหน็ดเหนื่อยจากการออกไปท่องราตรี และแถมยังต้องมาวางแผนต่าง ๆ นานา เพื่อเอาตัวรอด ต่างก็ผลัดพากันผัดกันอาบน้ำ ก่อนนอนกอดกันกลม หลับปุ๋ยไปโดยไม่รู้ตัว…
ปล.สามารถคอมเมนต์ติชมกันเข้ามาได้นะครับ นักเขียนไม่ดุุ! : )
